ลุ่มน้ำโขงระอุ!! สหรัฐฯเปิดศึกจีน แลกหมัดประเด็น ‘เขื่อน’ แม่น้ำโขง ใครกันแน่ทำลายสิ่งแวดล้อม

1199

ประเด็นการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงได้กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างจีนและสหรัฐฯเข้มข้นขึ้นทุกขณะ โดยสหรัฐฯ ได้สนับสนุนทุนผ่านเครือข่ายภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนและองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) บางองค์กรที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับแม่น้ำโขง ขณะที่ทางการจีนได้สนับสนุนทุนผ่านนักวิชาการและมหาวิทยาลัยในการทำงานวิจัยรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังวิพากษ์วิจารณ์กันทางสื่อสารมวลชนเป็นระยะๆ

วันที่ 31 มี.ค. 2565 สำนักข่าวโกลบัลไทมส์ เผยแพร่บทรายงานระบุว่าเป็นรายงานเจาะลึกของหู ยูเหว่ย (Hu Yuwei) และจ้าว จือเชียง (Zhao Juecheng) ในหัวข้อ “ใครคือกระบอกเสียงของสงครามความคิดเห็นสาธารณะที่นำโดยสหรัฐฯ เกี่ยวกับเขื่อน-ภัยคุกคามของจีนริมฝั่งแม่น้ำโขง”

เนื้อหาบางตอนระบุว่า ประเด็นเรื่องน้ำในแม่น้ำโขงเชิงการเมืองของสหรัฐฯ เพื่อจุดประสงค์ในการทำให้จีนเสื่อมเสียชื่อเสียง เปิดฉากการต่อสู้ด้วยวาทศิลป์สร้างความชอบธรรม ในการต่อต้านจีนอย่างต่อเนื่อง 

ศูนย์สติมสัน เป็นองค์กรคลังสมองที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ได้โจมตีจีนอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยรายงานเท็จและอคติลำเอียงที่มุ่งเป้าไปที่เขื่อนจีนตามแม่น้ำโขง

การเคลื่อนไหวต่อต้านจีนในมิติสิ่งแวดล้อม จัดทำโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หน่วยงานด้านความคิด สื่อ และนักเคลื่อนไหว

สหรัฐฯพยายามเปลี่ยนลุ่มน้ำโขงให้เป็นสมรภูมิใหม่กับจีนที่คล้าย ควบคู่กับกรณีทะเลจีนใต้ โดยศูนย์สติมสันก่อตั้งขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในปี 1989 และสมาชิกจำนวนมากที่เป็นอดีตและเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มหลักที่ผลักดันข้อกล่าวหาที่ว่าเขื่อนของจีนกำลังทำร้ายระบบนิเวศท้ายน้ำ

บทความชิ้นนี้ระบุว่าในปี 2019 นายไบรอัน อายเลอร์ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Last Days of the Mighty Mekong กล่าวถึงปัญหาท้ายน้ำต่างๆ นาๆ การท่องเที่ยวที่ลดลง ตลอดจนความแห้งแล้งในลุ่มน้ำและการปนเปื้อนน้ำดื่มและเพิ่มของเสียในแม่น้ำ ส่วนใหญ่เป็น “อันตราย” ที่เกิดจากเขื่อนจีนต้นน้ำ การตีพิมพ์หนังสือหนา 384 หน้าเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีจีนอย่างเข้มข้นของศูนย์สติมสันต่อทรัพยากรน้ำในแม่น้ำโขง

ผู้เชี่ยวชาญจากจีนจากหน่วยงานระหว่างรัฐบาล Mekong River Commission (MRC) และ Australian-Mekong Partnership for Environmental Resources and Energy Systems (AMPERES) ชี้ว่ารายงานดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนตามข้อเท็จจริง และเป็นการเลือกข้อมูลตามหลักวิทยาศาสตร์และปัจจัยที่ครบถ้วนน้อยเกินไป และนำไปสู่ข้อสรุปที่ไม่ถูกต้อง

“ห่วงโซ่การโจมตี” ที่เชื่อมโยงกับ Stimson Center และ Eyes on Earth ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อขยายความคิดประเด็น “ภัยคุกคามเขื่อนของจีน” ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในประเด็นแม่น้ำโขง โดยกลุ่มเครือข่ายส่วนใหญ่ประกอบด้วยสถาบันต่างๆ เช่น Human Rights Watch สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา และมูลนิธิเอเชีย สื่อต่างๆ เช่น New York Times และ BBC รวมถึง บางคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “นักวิชาการอิสระ”

รายงานของสื่อจีนระบุว่า เคล็ดลับทั่วไปอีกประการหนึ่งที่ใช้ในกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อนี้ คือการเพิ่มปัญหาทรัพยากรน้ำในระบบนิเวศให้กลายเป็นวิกฤตทางสังคมหรือด้านมนุษยธรรม เช่น ความแห้งแล้งที่ถูกกล่าวหาว่าเกิดจากเขื่อน ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อความมั่นคงด้านอาหาร หรือแม้แต่ทำให้เกิดการว่างงานในชุมชนประมง กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกต่อต้านจีนในหมู่ชาวบ้าน . 

พวกเขาสามารถยกระดับปัญหาสังคมไปสู่ปัญหาการเมืองได้ โดยบังคับให้เจ้าหน้าที่ของประเทศต่างๆ ที่ได้ร่วมมือกับจีนในโครงการเขื่อน ปรับเปลี่ยนนโยบายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อจีนเพื่อประโยชน์ในเสถียรภาพทางการเมืองของสหรัฐฯ

หลังจากที่ศูนย์สติมสันได้เผยแพร่รายงานที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับแม่น้ำโขงแล้ว ประชาชนบางส่วนในหลายประเทศรวมทั้งไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียได้จัดตั้งองค์กรออนไลน์ “Milk Tea Alliance” ซึ่งอ้างว่าเขื่อนที่จีนสร้างขึ้นบนแม่น้ำโขงตอนบน ทำให้เกิดภัยแล้งใน 5 ประเทศปลายน้ำ ได้แก่ ไทย ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา และเวียดนาม โดยเรียกร้องให้ประชาชนจำนวนมากขึ้นพูดเกี่ยวกับสิทธิการใช้น้ำริมแม่น้ำและหยุด “การกลั่นแกล้ง” ของจีน ตามรายงานของสื่อ

รายงานระบุว่าในเดือนกันยายน 2020 สถานทูตสหรัฐฯ และสถานกงสุลในประเทศไทยกำลังทำงานร่วมกับองค์กรท้องถิ่นที่มีแนวโน้มจะขยายเสียงคัดค้านจีน ในการดำเนินโครงการ “วิจัยไทยบ้าน” ซึ่งโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านเก็บรวบรวมข้อมูลทรัพยากรระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขงของประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ และกองกำลังต่อต้านจีนที่เกี่ยวข้องเชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวสามารถสนับสนุนแคมเปญโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านจีนอย่างมีน้ำหนัก

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ศูนย์สติมสันยังร่วมกันเปิดตัวสมาคมข้อมูลวารสารศาสตร์ลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อให้ทุนและฝึกอบรมนักข่าวในประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างในการเขียนรายงานสืบสวนเกี่ยวกับข่าวเกี่ยวกับน้ำในแม่น้ำโขง เช่น ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการสร้างเขื่อน

ผู้เชี่ยวชาญจีนกล่าวว่า ข้อสรุปไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงของการไหลของแม่น้ำ เกิดจากการสร้างเขื่อนต้นน้ำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของการไหลของแม่น้ำเป็นผลมาจากหลายปัจจัย และสภาพอากาศเป็นปัจจัยพื้นฐานและสำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ข้อเท็จจริงคือกระแสน้ำในลุ่มน้ำของจีนมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 13.5 ของการไหลบ่าของแม่น้ำโขงทั้งหมด โดยส่งผลกระทบอย่างจำกัดต่อพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำโขง

ผู้สังเกตการณ์ตั้งข้อสังเกตไว้ในรายงานชิ้นนี้ว่า “การวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองจากนอกภูมิภาค เป็นการดูหมิ่นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการยั่วยุโดยเจตนาเพื่อสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่ประเทศริมฝั่งแม่น้ำ” 

เนื้อหาในบทรายงานระบุด้วยว่า ปัจจุบัน สหรัฐฯ ได้ยกระดับวาทกรรมด้านการทูตน้ำในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง จากปัญหาทางนิเวศวิทยาล้วนๆ ไปเป็นเครื่องมือสำคัญที่มีอิทธิพลต่อยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และได้ใช้สงครามความคิดเห็นของประชาชนเป็นการรณรงค์ที่ซับซ้อน ด้วยเงินลงทุนเริ่มแรก 150 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ อ้างว่าได้เปิดตัวหุ้นส่วนระหว่างแม่น้ำโขงกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “วิสัยทัศน์อินโด-แปซิฟิก” ซึ่งผู้สังเกตการณ์เชื่อว่าแสดงให้เห็นถึงการเร่งรีบในการจัดการปัญหาน้ำในภูมิภาคเพื่อควบคุม อิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แต่สหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแม่น้ำโขงให้เป็น “สนามรบใหม่สำหรับการเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ” ไม่ได้ให้บริการเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของ 6 ประเทศตามแนวแม่น้ำโขง และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาน้ำโดยพื้นฐานแต่อย่างใด

ดานนายไบรอัน อายเลอร์ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ได้ชี้แจงข้อวิพากษ์ของสื่อจีนผ่านการสื่อสารออนไลน์ว่า หลายปีที่ผ่านมาองค์กรภาคประชาสังคมได้พยายามเรียกร้องให้มีการปกป้องแม่นน้ำโขงและชุมชนตลอดลำน้ำ อย่างมีส่วนร่วมและโปร่งใส ซึ่งสถาบันสติมสันได้ใช้วิธีการเพื่อสร้างความโปร่งใสและเสริมพลังให้แก่ชุมชนท้ายน้ำและผู้มีอำนาจตัดสินใจให้เจ้าของเขื่อนมีความรับผิดชอบ

ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำ Stimson Center กล่าวว่า“ใครๆ ก็สามารถใช้ Mekong Dam Monitor เพื่อให้เห็นข้อมูลได้ด้วยตนเอง และตัดสินด้วยตนเอง หากเจ้าหน้าที่รัฐจีนต้องการให้ข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะ ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดี”

อีกหนึ่งอาวุธสงครามไฮบริตของสหรัฐ  ที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในอินโดจีนกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งไทยมีบทบาทสำคัญทั้งองค์กรฝั่งสหรัฐ และร่วมมือทำการศึกษาวิจัยเชิงลึกเพื่อแก้ปัญหากับจีนด้วย