จีนแฉแหลก!!สหรัฐฯนักค้าสงครามทำให้บ.ยักษ์ค้าอาวุธรวยไม่รู้เรื่อง ยุโรปสั่งซื้ออาวุธกระหน่ำ ไม่สนปชช.ลำบาก

1320

สถานการณ์สงครามยูเครนมีแนวโน้มที่ไม่อาจสงบลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะสหรัฐและนาโต้ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น วิกฤตสงครามสามารถทำให้บริษัทอาวุธยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯทำเงินได้เป็นฟ่อนแบบไม่กระโตกกระตากทั้งล็อกฮีด มาร์ติน, เรย์ธีออน, และ บีเออี ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านีพุ่งลิ่วกำไรกระฉูด ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์โดยรวมพากันหล่นร่วง 

อุตสาหกรรมด้านกลาโหมกำลังป้อนอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่าเกือบๆ ครึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ทั้งสองฝ่าย และผลกำไรเป็นกอบเป็นกำที่พวกบริษัทอาวุธจะทำได้จากการนี้มหาศาล โดยเฉพาะสหรัฐที่ได้ลูกค้าอย่างยุโรปและพันธมิตรของสหรัฐในภูมิภาคอื่นๆต่างพากันใช้โอกาสในการขอเพิ่มงบทางทหารและทุ่มซื้ออาวุธกันอย่างเมามัน

วันที่ 24 มี.ค.2565 สำนักข่าวโกลบัลไทมส์ ได้เผยแพร่บทบรรณาธิการเปิดโปงการค้ากำไรจากสงครามของสหรัฐอย่างชัดแจ้ง ว่าผู้ได้รับประโยชน์จากสงครามยูเครนนี้มากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา

การเดินทางไปยุโรปของปธน.ไบเดนล่าสุด เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่าจะมีวันที่ยากลำบากในยูเครน เนื่องจาก “สงครามนี้จะไม่จบง่ายๆ หรืออย่างรวดเร็ว” นี่คือแนวทางที่วอชิงตันชี้นำอย่างเห็นได้ชัด  วอชิงตันหวังว่าสงครามจะไม่ยุติลง ดังนั้นจึงสามารถใช้ความขัดแย้งให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณค่าทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงคราม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการแสวงหาประโยชน์จากความโชคร้ายของยูเครน 

วอชิงตันและนาโต้ยังคงจัดหาอาวุธให้กับยูเครนอย่างไม่สิ้นสุด นักวิเคราะห์ชี้ว่า สหรัฐฯ ซึ่งดูเหมือนจะยืนหยัดอยู่กับยูเครน แท้จริงแล้วไม่สนใจเกี่ยวกับการฟื้นฟูสันติภาพในประเทศ เบื้องหลังคือความยินดีของบริษัทค้าอาวุธและนักการเมืองของสหรัฐฯ ต่างร่ำรวยภายใต้สหถานการณ์เลวร้ายที่ทุกฝ่ายพยายามเร่งคลี่คลาย

ข้อมูลและข้อเท็จจริงดังกว่าสิ่งอื่นใด รายงานล่าสุดแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ เพิ่มการส่งออกอาวุธขึ้น 14% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าการค้าอาวุธทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงก่อนหน้าเกิดสงครามยูเครน

การส่งออกอาวุธตั้งแต่ปี 2012-2016 สหรัฐส่งออกอาวุธ 32% ระหว่างปี 2017-2021 เพิ่มเป็น 39% มูลค่า 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งขายไป 28 ประเทศทั่วโลกในประเทศที่มีความขัดแย้ง

การมีส่วนเกี่ยวข้องของนักการเมืองสหรัฐมีอยู่ทุกสมัย ยกตัวอย่างเช่น อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐ มาร์ก เอสเปอร์เคยทำงานให้กับบริษัท เรย์ธีออน เทคโนโลยีส์ฯ หลังหมดวาระก็เข้าทำงานให้บริษัท เอพิรัส(Epirus)เป็นต้น

การสู้รบขัดแย้งกันครั้งนี้ทำให้การใช้จ่ายด้านกลาโหมเติบโตพุ่งพรวดขึ้นมาแล้วอย่างเห็นชัดเจน สหภาพยุโรปประกาศว่าจะจัดซื้อและจัดส่งอาวุธมูลค่ารวม 450 ล้านยูโรให้แก่ยูเครน ขณะที่สหรัฐฯก็ให้คำมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือทางการทหาร 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในการประชุมนาโต้ที่ผ่านมาหมาดๆ เป็นการเพิ่มเติมจากการจัดหาจัดส่งยุทธสัมภาระเป็นน้ำหนักกว่า 90 ตัน  และความช่วยเหลือเป็นมูลค่า 650 ล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครนไปแล้วเฉพาะในปีที่ผ่านมาปีเดียว

 

เมื่อนำเอาทั้งสองส่วนนี้มารวมกัน มันเป็นอะไรที่มหึมาอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่นสหรัฐฯและองค์การนาโต้กำลังจัดส่งอาวุธต่อสู้รถถัง 17,000 ชิ้น และขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานแบบบุคคลประทับบ่ายิง “สติงเจอร์” (Stinger) อีก 2,000 ชิ้นไปให้แก่ยูเครน นอกจากนั้นยังมีพันธมิตรนานาชาติที่ประกอบด้วยประเทศอย่างเช่น สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, ตุรกี, และแคนาดา แสดงความประสงค์ที่จะติดอาวุธให้แก่กองกำลังต่อต้านของชาวยูเครนเช่นเดียวกัน

เรื่องอย่างนี้ยังกลายเป็นความสนุกสนานเริงร่าสำหรับพวกบริษัทรับเหมารับจ้างด้านกลาโหมรายยักษ์ใหญ่ทั้งหลายของโลกอีกด้วย เช่น เรย์ธีออน (Raytheon)ผู้ผลิตขีปนาวุธ “สติงเจอร์” ร่วมกับ ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) ในการผลิตขีปนาวุธต่อสู้รถถัง “เจฟลิน” (Javelin) ซึ่งกำลังถูกส่งไปให้ยูเครนโดยประเทศอย่างสหรัฐฯ และ เอสโตเนีย ก่อนหน้านี้ทางรัสเซียได้โชว์ผ่านวิดิโอให้เห็นว่า รัสเซียยึดอาวุธเจฟลินจากคลังแสงยูเครน และมอบให้กับกลาโหมดอนบาสแล้ว

ล็อกฮีด และ เรย์ธีออน ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐฯทั้งคู่  ราคาหุ้นไต่สูงขึ้นราว 16% และ 3% ตามลำดับตั้งแต่ที่เกิดสงครามยูเครน

วอชิงตันยังคงแสดงบทบาท ส่งเสริมอำนาจภายใต้หน้ากากของ “ประชาธิปไตย” และสร้างโชคลาภจากสงครามในนามของ “สันติภาพ” แต่ปัจจุบันวิธีการดังกล่าวล้าสมัยและเปิดเผยธาตุแท้ของมหาอำนาจตะวันตกอย่างล่อนจ้อน วิวัฒนาการของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะพิสูจน์ให้เห็นถึงธรรมชาติของวอชิงตันในฐานะผู้ค้าสงครามอย่างไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป!!