จากที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ร่วมกับสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องนั้น
ต่อมานายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญของการประชุม ซึ่งมีบางส่วนเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อที่ประชุม เรื่องสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกทั้งน้ำมันดีเซล เบนซิน รวมทั้ง LPG และ NGV ทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ซึ่งต้องหามาตรการที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด โดยได้มีการดำเนินการทั้งในเรื่องของภาษี และจัดหาเงินมามาทดแทนกองทุนพลังงานที่มีน้อยลงและอยู่อย่างจำกัด
“โดยดำเนินการภายใต้สมมติฐาน และบริบทที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสม เช่น การพิจารณาราคาที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันว่าจะสามารถอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลไปได้เป็นระยะเวลาเท่าใดในราคาไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร รวมถึงการคาดการณ์ไปถึงว่าหากราคาเกินกว่าที่กำหนดไว้จะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไรต่อไป และท้ายที่สุดหากราคาน้ำมันสูงต่อเนื่องขึ้นไปอีก ณ เวลานั้นก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะหลายประเทศก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกัน
หากเทียบราคาน้ำมันและราคาก๊าซของประเทศไทยกับหลายประเทศอาเซียนแล้ว ราคาน้ำมันและก๊าซในประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำถึงแม้จะไม่ได้ต่ำที่สุด เพราะมีบางประเทศที่มีแหล่งพลังงานในประเทศด้วย จึงขอให้ทุกคนเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ ซึ่งทั้งหมดจะแก้ไขได้ ประชาชนก็ต้องมีความเข้าใจและฟังเหตุผลด้วยว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือตรงไหนอย่างไร ถ้านำงบประมาณมาทุ่มตรงนี้ทั้งหมด อย่างอื่นก็จะไปไม่ได้ ยืนยันว่ารัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน โดยจะพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุด” โฆษกรัฐบาล กล่าว
ขณะที่นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยด้วยว่า เป็นเรื่องโชคดีที่นายกรัฐมนตรี ได้สร้างสัมพันธ์อันดีกับซาอุดิอาระเบีย ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการต่างประเทศ ได้พยายามเจรจากับมิตรประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมัน เช่น ซาอุฯ เพื่อขอซื้อน้ำมันดิบในราคามิตรภาพที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลก
“ปัจจุบันราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูงเป็นราคาของตลาดโลก แต่เมื่อไทยมีมิตรประเทศ ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันลดลง และบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพของประชาชน แต่ลึกๆเชื่อว่าสถานการณ์สู้รบคงจะยุติในอีกไม่นาน”
ก่อนหน้านี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวถึงการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย หลังปรับความสันพันธ์ระหว่างกันให้เป็นปกติว่า หลังจากนี้นอกจากแต่งตั้งเอกอัครราชทูตของกันและกันแล้ว เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซิซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ทรงตอบรับการกราบเรียนเชิญของพล.อ.ประยุทธ์ เสด็จฯเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องมีการลงนามในความตกลงใหญ่ที่ครอบคลุมความสัมพันธ์ทั้งหมด
ทั้งนี้นายดอน ยังกล่าวว่า การเยือนของพระองค์จะทำให้ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้น จากนี้กระทรวงการต่างประเทศของไทย และซาอุฯจะต้องหารือกันต่อเนื่อง และมองไปข้างหน้าด้วยกันว่าจะพูดคุยกันในเรื่องใดบ้าง และดำเนินความร่วมมือภายใต้กลไกใด เพราะขณะนี้ยังไม่มีกลไกอะไรในความสัมพันธ์ระหว่างกัน
อย่างไรก็ตามนายดอน กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันภาคเอกชนไทยก็พร้อมจะเดินทางไปเยือนซาอุฯเช่นกัน คาดว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อแสวงหาโอกาสในการค้าขาย รวมถึงโอกาสทางธุรกิจต่างๆในซาอุฯด้วย
