จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2565 นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ได้ให้สัมภาษณ์ระบุว่า แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านได้มีการประชุมร่วมกันผ่านระบบซูม เพื่อหารือเกี่ยวกับการเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 โดยคุยถึงกรอบเวลาจะยื่นเมื่อไหร่ เนื้อหาเป็นอย่างไร
รวมถึงจำนวนผู้อภิปราย ได้ข้อสรุปว่า ห้วงเวลาที่จะยื่นอภิปรายนั้นจะต้องสัมพันธ์กันระหว่าง 4 เรื่องคือ เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องงบประมาณ เรื่องกฎหมายลูก และเรื่องวาระดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของนายกฯ ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ วันที่ 22 พ.ค. อยากยื่นอภิปรายเลย แต่ต้องดูว่ามีวาระจำเป็นเร่งด่วนอื่นที่สภาฯต้องพิจารณาหรือไม่ อาทิ เรื่องกฎหมายลูก เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เรื่องผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน เรื่องโควิด
เมื่อถามว่า จะหลบการอภิปรายให้กฎหมายลูกใช่หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่การหลบ ถ้าเปิดสภาฯแล้วกฎหมายลูกยังไม่เสร็จ ก็จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อน แต่ถ้าเสร็จช่วงเวลาเดียวกัน จะพิจารณาอีกทีว่าอะไรจะก่อนหลัง ซึ่งเราจะหารือกันอีกครั้ง คาดว่าปลายเดือนเม.ย. ถึงจะชัดเจนว่า จะยื่นอภิปรายช่วงใด
เมื่อถามถึงประเด็นอภิปราย นายสุทิน กล่าวว่า มอบหมายให้แต่ละพรรคไปรวบรวมประเด็นอีก 2 สัปดาห์จะสรุปประเด็นรอบแรกก่อนที่จะกลั่นกรองให้เหลือประเด็นที่คมชัดที่สุด ส่วนจำนวนผู้อภิปรายรอบนี้ทุกพรรคเห็นตรงกันจะใช้คนไม่มากเหมือนทุกครั้งจะเนื้อๆเน้นๆเฉพาะคนที่มีทักษะขั้นสูงจริงๆ
ถามอีกว่ารัฐบาลมั่นใจมีเสียงสนับสนุนเพียงพอ นายสุทินกล่าวว่า มองตรงกันข้าม หากเราติดตามข่าววันนี้ มีแต่เสียงสั่นคลอนรัฐบาลมากกว่าเสียงสนับสนุน การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งก่อน ก็มีเหตุการณ์กบฏเขย่าขวัญ จนรัฐบาลเกือบไปแล้ว คราวนี้สถานการณ์เชี่ยวกรากยิ่งกว่าเดิมอีก คิดว่าคงลำบากกว่าครั้งที่ผ่านมา
เมื่อถามว่า คิดว่านายกฯจะยุบสภาฯหนีการอภิปรายหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า เรื่องนี้อ่านใจ พล.อ.ประยุทธ์ยาก รู้แต่ว่าสถานการณ์ปิดล้อมจนทำให้นายกฯหนักใจกว่าทุกครั้ง
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ในช่วงอภิปรายทั่วไป นายสุทิน ได้ออกมายอมรับว่าฝ่ายค้านไม่มีข้อมูลใหม่ ๆ ที่จะต่อสู้กับรัฐบาล แต่จะขอกั๊กไว้สู้ในศึกซักฟอก ทำให้น่าจับตามองว่า การเตรียมตัวของฝ่ายค้านรอบนี้ จะมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นหรือไม่ เพราะหากหาข้อมูลมาไม่ได้มากพอเพียง ก็เท่ากับว่าตอนนี้ อาจจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มก็ได้