ไม่คุยก็ลุย!?กองทัพรัสเซียบุกกรุงเคียฟ หลังยูเครนระดมนานาชาติร่วมรบ เปิดทางหัวรุนแรงก่อมิคสัญญี

1310

สถานการณ์ล่าสุด กองทัพรัสเซียได้บุกยูเครนล่วงเข้าสู่วันที่ 6 แล้ว โดยที่ความหวังในการเจรจาเพื่อคลี่คลายวิกฤตริบหรี่ หลังจากการหารือครั้งแรกระหว่างตัวแทนยูเครนกับรัสเซียที่ชายแดนเบลารุส จบลงโดยปราศจากข้อตกลงหยุดยิง กระนั้นทั้งสองฝ่ายตกลงนัดพบกันอีกครั้งเร็วๆนี้ ด้านยูเครนประกาศระดมรับต่างชาติ และระดมเงินบริจาค นอกเหนือไปจากที่สหรัฐและประเทศยุโรปสนับสนุนหลายแห่ง เพื่อมาต่อสู้ทางทหารกับกองทัพรัสเซีย พร้อมๆกับดำเนินการถล่มนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ ปิดกั้นข่าวสารของรัสเซียไม่หยุด เช่นนี้กดดันให้รัสเซียเดินหน้าทางทหารต่อเนื่อง

โดยไม่หวั่นถูกนานาชาติโดดเดี่ยวทั้งทางการเงิน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และกีฬา เดินหน้าถล่มจัตุรัสใจกลางเมืองและเป้าหมายทางทหารในเมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครนต่อเนื่องในวันอังคาร (1มี.ค.) ขณะที่ขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และยานยนต์สนับสนุนอื่นๆ ยาว 65 กิโลเมตรมุ่งหน้าสู่กรุงเคียฟ

วันที่ 2 มี.ค.2565 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังจากการเจรจาที่ชายแดนเบลารุสจบลง มีเสียงระเบิดดังกึกก้องหลายครั้งในกรุงเคียฟ และกองทัพรัสเซียรุกคืบเข้าใกล้เมืองหลวงทุกขณะ ภาพถ่ายดาวเทียมของแม็กซาร์ เทคโนโลยีส์ของอเมริกา เผยให้เห็นขบวนยานยนต์หุ้มเกราะ รถถัง ปืนใหญ่ และยานยนต์สนับสนุนยาวเหยียดถึง 65 กิโลเมตร บนถนนที่มุ่งหน้าสู่เคียฟโดยอยู่ห่างจากศูนย์กลางเมืองเพียง 25 กิโลเมตร มีรายงานว่า ได้ยินเสียงระเบิดรอบเมืองโบรวารีที่อยู่ติดกับเคียฟ

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย ประณามสหรัฐและพันธมิตรว่าเป็น “จักรวรรดิจอมโกหก” ในขณะเดียวกัน ทูตรัสเซียได้รายงานจำนวนข่าวเฟคนิวส์ ของสื่อตะวันตกในการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ว่ามีถึง 1.2 ล้านชิ้นในระยะเวลาอันสั้น  พร้อมๆกับสื่อโซเชียลมิเดียของสหรัฐ ทั้งเฟซบุ๊ก กูเกิล ทวิตเตอร์และอินสตราแกรมในยุโรปปิดกั้นข่าวจากรัสเซีย อ้างสร้างข่าวปลอมแต่ปล่อยเฟคนิวส์จากสำนักข่าวตะวันตกอย่างเสรี

แม้คนมากมายกลัวว่า การที่มอสโกว์ยกระดับการเตรียมพร้อมกองกำลังนิวเคลียร์อาจเป็นการดึงให้ตะวันตกเข้าสู่ความขัดแย้งกับรัสเซียโดยตรง แต่เจ้าหน้าที่กลาโหมอาวุโสของอเมริกายืนยันว่า อเมริกายังไม่เห็นสัญญาณว่า รัสเซียเปลี่ยนแปลงสถานะนิวเคลียร์แต่อย่างใด

ด้านปธน.โวโลดิมีร์ เซเลนสกี เรียกร้องชาวต่างชาติสมัครเป็น “กำลังพลอาสาสมัครนานาชาติ” เพื่อช่วยสู้รบกับกองกำลังรัสเซีย เป็นการเปิดทางให้เหล่านักรบหัวรุนแรง แม้กระทั่งกองกำลังก่อการร้ายเข้าสู่แผ่นดินยูเครน ยกระดับเป็นสงครามตัวแทนเต็มรูปแบบไม่ต่างจากที่กำลังเกิดขึ้นในซีเรีย

ดมีโตร คูเลบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูเครน เขียนบนทวิตเตอร์ ร้องขอให้บุคคลที่มีความประสงค์เข้าร่วม ให้ติดต่อไปยังสถานทูตของยูเครนในประเทศนั้นๆ พร้อมมีค่าใช้จ่ายให้ด้วย สภาพเช่นนี้คือการสร้างกองทหารรับจ้างที่ไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุม เท่ากับยั่วยุความดุเดือดรุนแรงในสมรภูมิ สวนทางกับการให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการเจรจาเพราะได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐและนาโตเต็มที่ทั้งกำลังเงิน และอาวุธยุทโธปกรณ์

แนวโน้มสถานการณ์ด้านการทหาร มีความเป็นไปได้ว่ากองทัพรัสเซียจะเดินหน้ารุกเข้าสู่กรุงเคียฟอย่างไม่ลังเล เพื่อควบคุมสถานการณ์ในภาคพื้นดิน ทางทะเลและทางอากาศ

การเคลื่อนไหวล่าสุด สำนักข่าวทาซซ์รายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผู้สังเกตการณ์ของ องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือชื่อเป็นทางการว่าOSCE Special Monitoring Mission to Ukraine ได้อพยพออกจากสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ไปยังรัสเซียแล้วเพื่อความปลอดภัย ท่ามกลางการสู้รบที่ยืดเยื้อ ยุติภารกิจ ในศูนย์ร่วมเพื่อการควบคุมและประสานงานของระบอบหยุดยิงในเขตโดเนตสก์

ภารกิจ OSCE เริ่มทำงานในยูเครนเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2014 การตัดสินใจก่อตั้งได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกทั้งหมด 57 ประเทศ ภารกิจประกอบด้วยผู้สังเกตการณ์ประมาณ 1,000 คน ดำเนินการติดตามเหตุการณ์และบันทึกภาพ เอกสารหลักฐานต่างๆในพื้นที่ สำนักงานตั้งอยู่ในเคียฟ โดเนตสก์ และลูฮันสก์

เหล่านี้คือภาพที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของสงครามตัวแทนระหว่าง มหาอำนาจเก่าอย่างสหรัฐและตะวันตก กับอำนาจใหม่ที่ท้าทายอย่างรัสเซีย โดยมียูเครนเป็นหน้าฉาก เป้าหมายของชาติตะวันตกไม่ใช่รบใน “สงครามตามขนบเดิม” เพราะรบไปก็สู้รัสเซียไม่ได้ สหรัฐจึงให้สัมภาษณ์เสมอว่า สหรัฐไม่ใช่คู่กรณีกับรัสเซีย วิธีการที่สหรัฐคาดว่าได้ผลที่สุดคือลุยในจุดที่เป็นจุดอ่อนของรัสเซียคือเรื่องการเงินและเศรษฐกิจ

สงครามพืนที่ครั้งนี้จะสร้างความยากลำบากกันทั้งประเทศ แม้แต่ฝ่ายที่พากันรุมคว่ำบาตรรัสเซียก็จะกระอักไปด้วย ดังรัฐบาลอังกฤษปลอบภาคธุรกิจตัวเองว่า “ต้องเจ็บกันบ้าง” แต่ความจริงแล้วการคว่ำบาตรรัสเซียก็เหมือนยุโรปทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง แม้สหรัฐเชียร์อยู่ข้างๆก็คงไม่รอด

อย่างไรก็ตามอุบัติเหตุจากการทำสงครามทั้งการรบด้วยกระสุน และการรบด้วยเงิน จะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยชาติตะวันตกจะยิงกระสุนการเงินที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นไม่ว่า พลเรือนหรือนักลงทุนทั้งสองฝ่ายย่อมจะโดนหางเลขอ่วมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นี่เป็นด้านเศรษฐกิจที่น่ากังวล แต่อุบัติเหตุทางทหารน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะหมายถึงสงครามนิวเคลียร์ที่น่าสยดสยองจะตามมา