เบลารุสลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกสถานะการเป็นประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะเปิดทางให้รัสเซียสามารถส่งอาวุธนิวเคลียร์มาวางกำลังในประเทศได้ สหรัฐและสหภาพยุโรปชี้เป็นการตัดสินใจที่ “อันตรายมาก” หวั่นหัวรบนิวเคลียร์รัสเซียประชิดหลังบ้านสมาชิกนาโต
เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 สำนักข่าวเอเอฟพีและโกลบัลไทมส์รายงานว่า ทางการเบลารุสจัดให้มีการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยอิกอร์ คาร์เพนโก หัวหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง แถลงผลประชามติปรากฏว่า ชาวเบลารุส 65.16% เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 10.07% คัดค้าน ที่เหลืองดออกเสียง กรรมการการเลือกตั้งกลางกล่าวว่า มีผู้ออกมาใช้สิทธิ 78.63% ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์กำหนดที่ระบุว่าผลประชามติจะชอบด้วยกฎหมายหากมีผู้ใช้สิทธิอย่างน้อย 50%
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะทำให้ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก (Alexander Lukashenko)วัย 67 ปีที่นั่งเก้าอี้นี้มาตั้งแต่ปี 2537 สามารถครองอำนาจต่อไปได้ถึงปี 2579 ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขนี้ยังจะทำให้เบลารุสยกเลิกสถานะประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะทำให้ประเทศอดีตสมาชิกสหภาพโซเวียตแห่งนี้อาจมีอาวุธนิวเคลียร์วางกำลังในดินแดนของตนเป็นครั้งแรก นับแต่คืนหัวรบนิวเคลียร์ให้รัสเซียภายหลังโซเวียตล่มสลายตามสนธิสัญญาวอซอร์
ลูกาเชนโกกล่าวที่คูหาลงคะแนนเมื่อวันอาทิตย์ว่า เขาอาจจะขอให้รัสเซียส่งอาวุธนิวเคลียร์กลับมาที่เบลารุส “หากพวกโลกตะวันตก เคลื่อนย้ายอาวุธนิวเคลียร์มาที่โปแลนด์หรือลิทัวเนีย, มาที่ชายแดนของเรา ผมก็จะขอให้ปธน.ปูตินส่งอาวุธนิวเคลียร์ที่ผมเคยยกคืนให้ กลับมาได้อย่างไม่มีเงื่อนไข”
มีชาวเบลารุสที่คัดค้านการยกเลิกสถานะรัฐที่ไม่มีนิวเคลียร์ และพากันออกมาประท้วงประมาณ 800 คน แต่โดนตำรวจจับกุมไป
ที่กรุงบรัสเซลส์ โจเซ็ป บอร์เรลล์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) ประณามการลงคะแนนของเบลารุสว่าเป็น “ประชามติปลอม” และกล่าวเตือนว่า เรารู้ว่าการที่เบลารุสมีนิวเคลียร์หมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่ารัสเซียจะวางกำลังอาวุธนิวเคลียร์ในเบลารุส และนี่เป็นเส้นทางที่อันตรายอย่างมาก
การที่เบลารุสได้รับฉันทามติจากสาธารณชน นั่นหมายถึงสามารถอนุญาตให้รัสเซียติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ได้อย่างชอบธรรม และแน่นอนอียูรวมถึงหลายประเทศเตรียมคว่ำบาตรเบลารุสเพิ่มด้วยแล้ว
กลุ่มพันธมิตรในโลกตะวันตกหวั่นเกรงกันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ของเบลารุส ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศอียูและนาโต 3 ประเทศซึ่งเป็นอดีตสหภาพโซเวียต แต่ถูกเกลี้ยกล่อมมาเป็นสมาชิกนาโต และมีสัมพันธ์เศรษฐกิจติดหนึบกับไอเอ็มเอฟและสหรัฐ ทำให้สหรัฐและตะวันตกสามารถสั่งขวาหันซ้ายหันได้ เช่นที่ปธน.โจ ไบเดนสั่งทหารมาประจำการทั้งลิทัวเนีย แอสโตเนียก็เต็มใจให้มาตั้งแน่นอนย่อมไม่มามือเปล่า ย่อมมาทั้งขีปนาวุธทำลายล้างอย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุนี้ทำให้สหรัฐและตะวันตกอาปากค้าง ในหมากเกมโต้ตอบของรัสเซียและพันธมิตร ทั้งหมดนี้ก็เพื่อยันกับนาโต ที่คืบคลานมาก่อนหน้านี้ขยายกำลังทหารและฐานขีปนาวุธติดรั้วบ้านรัสเซีย โดยไม่มีรายงานปรากฎในสื่อตะวันตกแต่อย่างใด ทั้งที่ปัจจุบัน กำลังทหารร่วมสหรัฐ-โปแลนด์และพันธมิตรตะวันตกตั้งเผชิญหน้าอยู่ชายแดนโปแลนด์-ยูเครน ติดเบลารุส
เมื่อวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียสร้างความตื่นตกใจให้สหรัฐและโลกตะวันตก ด้วยการสั่งการให้กำลังรบป้องปรามนิวเคลียร์ของรัสเซียเตรียมความพร้อมขั้นสูงสุด หวั่นวินาศกรรม และเป็นการแสดงความตัดสินใจขั้นสูงสุดในการเผชิญหน้ากับสหรัฐและพันธมิตร ซึ่งรัฐบาลสหรัฐระบุว่าเป็นท่าทีที่ “ยอมรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง” คือสหรัฐทำได้แต่ประเทศอื่นห้ามทำ
สหรัฐและพันธมิตรทั้งในกลุ่มยุโรป และเอเชียแปซิฟิกต่างโหมกระหน่ำรุมรัสเซียด้วยมาตรการบีบบังคับสูงสุด คว่ำบาตรธนาคาร-ผู้นำและกลุ่มผู้บริหารประเทศรัสเซียทั้งสายการเมือง การทหาร ขับออกจากธุรกรรมการเงินของโลก คือห้ามรัสเซียใช้ระบบ SWIFT และห้ามประเทศอื่นคบค้า ทำมาค้าขายกับรัสเซีย ซึ่งก็คือการยิงระเบิดนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจใส่รัสเซีย โดยไม่สนใจว่าประชาชนรัสเซียและพันธมิตรต่างๆจะเดือดร้อนเป็นวงกว้างอย่างไร นั่นค้อชักธงรับกับรัสเซียอย่างเต็มกำลังแล้ว
นับจากนี้ ต้องจับตามาตรการตอบโต้กลับของรัสเซีย ต่อสหรัฐและตะวันตกนั่นหมายถึง นาโต-สหภาพยุโรป และพันธมิตรเอเชียแปซิฟิกที่กระทำต่อรัสเซียอย่างดุเดือด ทั้งทางเศรษฐกิจ การทูต การทหาร เพราะเวลานี้รัสเซีย ไม่ใช่สหภาพโซเวียต และปธน.ปูตินไม่ใช่บอลเชวิค ไม่ได้อ่อนแอเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งมีภูมิต้านทานต่อการบีบบังคับของตะวันตกที่คว่ำบาตรกีดกันมานับร้อยครั้งในรอบ 30 ปี