จากกรณีที่กองทุนราษฎรประสงค์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความแจกแจงถึงรายรับและรายจ่ายเกี่ยวกับการใช้เงินประกันอย่างละเอียดว่า “ขอแสดงใบเสร็จและสรุปรายรับรายจ่ายที่มีการระดมในรอบวันที่ 22-23 ก.พ.
ดังรายละเอียดที่แจกแจงพร้อมหลักฐานด้านล่าง ทั้งนี้เราขอแจ้งภาพรวมเบื้องต้นก่อนว่า เนื่องจากเมื่อวานนี้ (23 ก.พ.) มีการเบิกสำรองเงินประกันเกินกว่าจำนวนที่ใช้จริงไป 1,430,000 บาทเพราะผิดคาด ไม่นึกว่าศาลจะยังคงไม่ให้ประกัน ดังที่ทุกท่านคงทราบแล้ว จึงทำให้ทนายความและนายประกันต้องโอนเงินสำรองกลับคืนเข้ามา และทำให้ปนอยู่ยอดรายรับของวันที่ 23 ก.พ.เป็น 3,263,511.53 บาท ทั้งที่ในความเป็นจริง รายรับที่แท้จริงคือ 1,833,511.53 บาท ขณะที่ยอดรายจ่ายที่แท้จริงของวันที่ 23 ก.พ. คือ 272,000 บาท ไม่ใช่ 1,720,000 บาทซึ่งเป็นยอดที่มีเงินคืนสำรองปนอยู่ด้วย ทั้งนี้ทราบว่ายอดเงินบริจาคทั้งหมดในรอบนี้ จะอยู่ที่ 15 ล้าน ไม่ใช่ 10 ล้าน
ล่าสุดทางด้านผศ.ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 1 ใน 2 เจ้าของบัญชีกองทุนราษฎรประสงค์ ได้เปิดเผยกับทางสำนักข่าวเนชั่น ซึ่งมีบางช่วงบางตอน กล่าวถึงกรณีเงินรับบริจาคเพื่อใช้ประกันตัว “เพนกวิน” และ “ทนายอานนท์” รวม 2 วัน กว่า 15 ล้านบาท และยังคงเปิดรับบริจาคอยู่
โดยชี้แจงว่า บัญชีดังกล่าวถูกเปิดตั้งแต่ปลายปี 2563 เพื่อนำไปใช้ประกันตัวผู้ที่แสดงออกทางการเมือง ซึ่งมีคดีทุกวัน และประกันไปแล้วหลายร้อยคดี ส่วนบัญชียังคงเปิดอยู่ใครจะบริจาคก็ห้ามไม่ได้ แต่หากเงินเพียงพอแล้วก็จะมีการแจ้งให้ทราบ โดยเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้กับคนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองทั้งหมด ไม่ใช่แค่ “เพนกวิน” และ “ทนายอานนท์” นำไปใช้ในดคีค้างเก่า และคดีที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต โดยมีการแจกแจงรายละเอียด มีใบเสร็จชัดเจน โปร่งใสตรวจสอบได้แน่นอน ซึ่งจริงๆ ไม่อยากรบกวนประชาชน โดยตนรู้สึกตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะมีคนบริจาคมากมายขนาดนี้ ถือว่ามากที่สุดตั้งแต่เปิดบัญชีมา
ส่วนยอดเงินบริจาคครั้งล่าสุดซึ่งขณะนี้เหลืออยู่ในบัญชี 13 ล้านเศษนั้น ยืนยันว่า ไม่เกิน 2-3 เดือนก็หมด เนื่องจากแต่ละวันมีค่าใช้จ่ายวันละหลายแสน โดยที่ผ่านมามีเงินติดบัญชี 1-2 ล้าน แต่ครั้งนี้เงินมีไม่เพียงพอ จึงเปิดรับบริจาค
อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นครั้งสำคัญที่เจ้าของบัญชีกองทุนราษฎรประสงค์ ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับกระแสดราม่า ที่ถูกครหาเรื่องการใช้เงินไม่โปร่งใส เพราะต้องยอมรับมี มีผู้บริจาคจำนวนไม่น้อย ในกลุ่ม 3 นิ้วด้วยกันก็ตั้งข้องสงสัย ถึงรายละเอียดบัญชีเงินบริจาค ว่าจะนำไปใช้ไม่โปร่งใสหรือไม่
