บิ๊กตู่เดือด! ท้า “ปวีณ” หากไม่ได้รับความเป็นธรรมให้กลับมาฟ้องตามกม. ยัน เจ้าตัวขอลี้ภัยเอง ไม่มีใครสั่ง! 

1273

บิ๊กตู่เดือด! ท้า “ปวีณ” หากไม่ได้รับความเป็นธรรมให้กลับมาฟ้องตามกม. ยัน เจ้าตัวขอลี้ภัยเอง ไม่มีใครสั่ง!

จากกรณีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565 นายรังสิ​มัน​ต์ โรม​ ส.ส.พรรคก้าวไกล​ พร้อมด้วย​ น.ส.พรรณิการ์​ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ในฐานะผู้ทำคดีขบวนการค้าชาวโรฮีนจา เมื่อปี 2557 ต่อมาได้ขอลี้ภัยในประเทศออสเตรเลีย รวมกันแถลง​ข่าวกรณีพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายกรณีปัญหาการค้ามนุษย์ ขบวนการลักลอบขนชาวโรฮีนจา เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา​

​พล.ต.ต.ปวีณ​ กล่าวจากออสเตรเลียว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ตนได้มาพูดความในใจ หลังจากต้องลี้ภัยอยู่ที่ออสเตรเลียเป็นเวลา 6 ปี 3 เดือน 3 วัน จึงมีความสุขที่จะได้พูดถึงสิ่งที่ค้างคาใจ ที่สร้างความทุกข์ ระทมขมขื่น เครียด กลัว บั่นทอนจิตใจ จากการทำหน้าที่แล้วถูกกลั่นแกล้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รัฐบาล ผู้มีอำนาจ

​พล.ต.ต.ปวีณ​ ยืนยันว่าเรื่องที่พรรคก้าวไกลออกมาเปิดเผยเป็นเรื่องจริง ผมไม่ได้สร้างเรื่องเพื่อขอลี้ภัยแต่อย่างใด ปัจจุบันต้องใช้ชีวิตแบบผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ วันนี้รู้สึกว่าได้ได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่อีกครึ่งยังขาดหายไป

“ผมเสียดาย ถ้าวันนั้นประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีรัฐบาลตรงไปตรงมา มีนายกฯและผู้บริหารทุกระบบที่ทำให้ประเทศไทยใสสะอาด ซื่อสัตย์ มีความกล้าหาญให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเที่ยงตรงเหมือนนานาอารยประเทศ และปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปสุดทาง ชีวิตราชการของตนที่เหลือ 3 ปี ความสามารถและประสบการณ์ในการสืบสวนสอบสวน มั่นใจว่าจะสามารถสาวไปถึงปลาตัวใหญ่ได้อีกหลายตัว ใหญ่แค่ไหนขอให้คิดกันเอาสามารถเองจากการอภิปรายเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา”

เมื่อถามว่าอยากกลับมาที่ประเทศไทยอีกหรือไม่​ พล.ต.ต.ปวีณ​ กล่าวในขณะที่กลั้นน้ำตาว่า​ แน่นอนว่าตนยังอยากกลับประเทศไทยเพราะเป็นบ้านเกิด ตนยังมีบุคคลที่รักที่ยังอยู่ที่นั่น

ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่าภารกิจการจัดการขบวนการค้ามนุษย์เราไม่ใช่พนักงาน​สอบสวน​ เราไม่ใช่ตำรวจที่จะมีอำนาจหน้าที่จะไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมด​ เราอาจจะได้มาแค่บางส่วน​ ส่วนที่ตนพูดมันเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง​ แต่เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป​ เราจะใช้กลไกในสภาให้มากที่สุด​ ข้อมูลต่างๆที่อยู่ในคำให้การที่พล.ต.ต.ปวีณ​ ได้ให้ต่อทางการออสเตรเลีย​ ซึ่งมีการสาบานในการใช้สำหรับยื่นลี้ภัยเราต้องนำมาขยายต่อ

ล่าสุดวันนี้ (21 ก.พ.65) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงปัญหาการค้ามนุษย์ ว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและผลงานก็ดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งใดที่ผ่านมาแล้วก็ถือเป็นเรื่องของอดีต ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ตรวจสอบและชี้แจงแล้ว และบางเรื่องถูกหยิบมาเป็นประเด็นทั้งที่เป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และมีการตรวจสอบทางระเบียบและกฎหมายต่างๆ ก็ต้องว่าไปตามนั้น ยืนยันรัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา มิเช่นนั้นคงไม่ดีขึ้นอย่างทุกวันนี้ แม้จะไม่เต็ม 100% แต่จะเดินหน้าแก้ปัญหาต่อไป รวมถึงการทำประมงผิดกฎหมาย หรือไอยูยู รวมถึงการทุจริตที่อาจมองว่าคะแนนของประเทศไทยตกต่ำลง แต่หากพิจารณารายละเอียด 6-7 กลุ่มงาน จะเห็นว่ามีทั้งส่วนที่คะแนนเท่าเดิม เพิ่มขึ้นและลดลง ซึ่งสิ่งที่เพิ่มมากขึ้นจนน่าพอใจ คือการบริหารของภาครัฐที่คะแนนสูงขึ้นมาก จึงขออย่าดูแต่เรื่องไม่ดีเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูในส่วนที่ดีด้วย แต่หากส่วนใดไม่ดี ก็ค่อยๆแก้ไขกันไป

ส่วนกรณี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และอดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศนั้น นายกรัฐมนตรี ถามกลับว่า พล.ต.ต.ปวีณ ต้องคดีอะไร ซึ่งการที่เจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ขอให้ไปร้องทุกข์ ตามช่องทางที่มีอยู่ ยืนยันตนไม่ได้สั่งให้ออกไป แต่เจ้าตัวเดินทางออกไปเอง ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้น ใครจะไปทำอะไรได้ เพราะบ้านเมืองมีกฎหมาย หากพูดแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะทุกคนที่หนีไป ก็สมัครใจกันไปเอง แต่กลับมาพูดเรื่องของความปลอดภัย ทั้งที่บางคนเดินทางออกไปโดยมีกฎหมายค้างคาอยู่ ขอให้มองตรงนี้ด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ดังนั้น ขออย่าฟังเพียงช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้น มิเช่นนั้นจะเกิดความขัดแย้งกันไม่เลิก ย้ำว่า หากคิดว่าไม่มีอะไร ก็ให้เดินทางกลับมา โดยพล.ต.ต.ปวีณ ไม่ได้มีคดีอะไรกับตนและกับใครทั้งนั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่เคยปกป้องใคร ส่วนที่มีการกล่าวอ้างถึงผู้อยู่เบื้องหลังนั้น หากไม่เปิดเผยชื่อ ใครก็สามารถพูดได้ ซึ่งการจะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน ดังนั้น หากพล.ต.ต.ปวีณ ต้องการจะกลับมาและฟ้องร้องก็สามารถทำได้ตามกระบวนการ แต่หากฟ้องแล้ว ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ก็อาจถูกฟ้องกลับ เพราะทุกอย่างต้องยึดหลักกฎหมาย ไม่ใช่พูดกันไปมา และมาขยายความ

 

ขอบคุณคลิปจาก : ทวิตเตอร์ Deep Blue Sea @WassanaNanuam