Truthforyou

ดร.ธรณ์ เล่าย้อนความทรงจำ 13 ตุลา วันฝันร้ายของคนไทย สี่ปีผ่านไปความคิดถึงและน้ำตาไม่เคยน้อยลง

เนื่องด้วยวันนี้ 13 ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งพสกนิกรชาวไทยต่างร่วมกันทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล พร้อมทั้งมีการใส่เสื้อเหลืองนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางด้าน ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า…โลกนี้มีบางครั้งที่เราตื่นขึ้นกลางดึก มือไม้เย็นเฉียบ หัวใจเต้นตึกตักด้วยความระทึกขวัญ เพราะเรากลัว “ฝันร้าย”

ฝันร้ายมีหลายประเภท แต่ไม่มีฝันร้ายใดสร้างความตระหนกให้เราเท่า “ฝันที่เหมือนเหตุการณ์จริง” ผมเคยฝันเช่นนั้น น้อยครั้งแต่จำได้ ทุกครั้งที่ตื่น ผมดีใจสุด ๆ เมื่อรู้ว่ามันเป็นเพียงฝัน มันยังไม่เป็นจริง จวบจนวันหนึ่ง…วันที่ไทยทั้งชาติจำได้แม่น เราปริวิตกกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น เราใจไม่ดีเลยเมื่อเริ่มทราบแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังที่ทยอยออกมา ความกระสับกระส่ายเริ่มเพิ่มขึ้น จนเกิดอาการ “ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”

คนหลายสิบล้านรู้สึกว่า เราทำงานไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ มันมึนงง สับสน ใช้ชีวิตคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น ตามด้วยแถลงการณ์ฉบับต่อ ๆ มา ชีวิตมันยิ่งครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ค่อนข้างจะไปทางหลับมากกว่าตื่น หลับไปเลยเพื่อให้ตื่นมาใหม่แล้วพบว่ามันเป็นเพียงฝันร้าย แต่หนนี้ไม่ใช่ฝัน ความจริงอันปวดร้าวเริ่มต้นในเวลาหนึ่งทุ่ม วันที่ 13 ตุลาคม เหตุการณ์แผ่นดินวิปโยค ความสูญเสียสูงสุดในรอบ 70 ปี เกิดขึ้นกับประเทศไทยแล้ว ความเจ็บปวดรวดร้าวของผลัดแผ่นดินในครั้งกาลก่อน เรากำลังจะรู้ซึ้ง เสียงร้องไห้ระงมไปทั้งเมืองเป็นเช่นใด เรากำลังจะได้ยิน และจะได้ยินมากกว่า เพราะผู้ที่จากเราไป เป็นผู้ครองแผ่นดินยาวนาน 70 ปี

นานกว่าแผ่นดินไหน ๆ ในอดีต นานกว่าแผ่นดินไหน ๆ บนโลกใบนี้ ครองนานแค่ไหนอาจไม่เกี่ยว ที่เกี่ยวคือครองแผ่นดินอย่างไร? เรื่องนี้ไม่ต้องตอบเป็นภาษา เราใช้น้ำตาตอบแทน กลับมาถึงบ้าน ผมเดินผ่านหน้าลูก ๆ ที่นั่งอยู่หน้าทีวี ผ่านหน้าหนูดาวผู้เงยหน้าขึ้นมอง เธออาจอยากรู้ว่าผมจะทำอย่างไร จะพูดอย่างไร ผมไม่ทำอย่างไรทั้งนั้น ผมเข้าห้องน้ำ จากนั้นผมร้องไห้ ผมกำลังร้องไห้ตัวหอบตัวโยนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ น้ำตาไหลทะลักมาจากไหนก็ไม่ทราบ มันเลอะเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ผมร้องไห้เพราะหนนี้ไม่เหมือนทุกหนที่เคยเจอ ผมแก้ไขไม่ได้ มันหมดสิ้นทุกหนทาง มันเป็นชะตาฟ้าที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ผมเจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ผมคิดผิด ผมทำอะไรได้….

ลูกผมเป็นเด็กยุคใหม่ เกิดมาในช่วงที่ได้เรียนรู้เรื่องพระองค์จากหนังสือเรียน ยืนตรงตอนเข้าโรงหนัง แต่ธราธรรธไม่เคยผูกพัน ไม่เคยมีแรงบันดาลใจใดที่เกิดจากพระองค์ เขาไม่เคยไปยืนรับเสด็จ ไม่เคยร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในวิชาดนตรี ไม่เคยเปิดหนังสือพิมพ์ดูทีวีเห็นพระองค์ไปโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา พลางสงสัยว่าไม่เหนื่อยบ้างหรือไร? เพราะฉะนั้น ผมจึงขับรถไปสนามหลวง นาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน ผมมองพระบรมมหาราชวังสว่างเรื่อเรืองท่ามกลางความมืด เสียงเพลงพระราชนิพนธ์ดังแว่วมาจากวิทยุที่เปิดอยู่

ผมเห็นพระบรมมหาราชวังมาตั้งแต่เด็ก เคยมาทัศนศึกษา เคยนั่งเรือผ่านไปมา เคยมาดูพลุ เคยมาโน่นมานี่ตลอดชีวิตกว่า 50 ปีของผม แม้พระองค์ไม่ประทับอยู่ในนั้น แต่มหาราชวังเป็นเสมือนสัญลักษณ์ เป็นความสัมพันธ์ที่แยกกันไม่ออกระหว่างวัง กษัตริย์ พสกนิกร แสงเรืองรองเหนือความมืดของท้องสนามหลวง เป็นเสมือนดวงเทียนของไทย ไม่ว่าจะเกิดอะไรหนักขนาดไหน เราไม่มีทางเป็นอะไร เทียนเล่มนั้นยังคงอยู่

แต่วันนี้ แม้แสงไฟในวังยังเหมือนเดิม แต่ผมไม่รู้สึกเช่นเดิมอีกแล้ว มันคล้ายมีบางอย่างปลิดปลิวหลุดลอยไป บางอย่างที่มีความหมายคล้าย “หัวใจที่หลุดลอย” ผมสะอึก กลั้นสะอื้น น้ำตาค่อยไหลลงอาบแก้ม ชั่วชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เคยเห็นวังแบบนี้มาก่อน ผมไม่เคยชินกับภาพวังเช่นนี้ ผมสับสนจนไม่สามารถอธิบายได้ เพลงยิ่งบาดใจ ยิ่งไพเราะเพียงใด ยิ่งทำร้ายจิตใจมากเพียงนั้น ผมสะอื้นจนเด็กสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังรถเริ่มรู้สึก ทั้งคู่มองไปทางวัง ทั้งคู่นั่งเงียบ

หนูดาวผู้เป็นภรรยายื่นมือมาจะปิดวิทยุ แต่ผมห้ามไว้ด้วยเสียงที่แทบไม่เป็นภาษา เพราะผมอยากให้ลูกจำ…ความทรงจำของคนเราเป็นเรื่องแปลก เราจำไม่ได้ทุกเรื่องหรอก ได้แค่บางเรื่องเท่านั้น และบางเรื่องไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องสนุกเสมอไป ผมจำเรื่องเศร้าได้ดีกว่าเรื่องสนุก ผมเพียงอยากให้ลูกผมจดจำเรื่องเศร้าไว้บ้าง จำว่าครั้งหนึ่งพ่อเคยร้องไห้ระหว่างขับรถพาเขาทั้งสองไปวัง เราหยุดยืนหน้าประตูวิเศษไชยศรี แต่ละคนทยอยเข้าคิวไปหน้าประตูที่เปิดกว้างให้รถเข้าออก คุณทหารยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้า

แต่ละคนค่อยเขยิบไป จนถึงคิวผม เราทรุดกายลงกับพื้น ข้างกายมีอีกหลายต่อหลายคน ไม่มีใครมองหน้าใคร ทุกคนมองไปข้างหน้า เห็นแสงไฟส่องอาบพระที่นั่ง ทุกคนกราบแทบพื้น หน้าแนบหินที่ปูเป็นทางไว้ให้รถวิ่ง…ผมเงยหน้ามองแสงไฟทอดยาวไปตามโคมสองข้างทาง ดวงไฟสะท้อนพื้นถนนเป็นจุดแวววาว ต้นไม้นิ่งสนิทไม่ไหวติง ลมไม่พัด ฉากข้างหน้าเป็นเหมือนภาพวาด เสียงสะอื้นไห้ดังมาจากใครคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล น้ำตาอาบแก้ม สะท้อนแสงเป็นแวววูบวาบละลานตา บาดลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

คุณป้าคนหนึ่งก้มลงกราบ มองกำแพงอีกครั้ง ก่อนกราบซ้ำอีก คุณป้าทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนใส่หน้ากาก มีเพียงดวงตาฉ่ำเยิ้มเหมือนคนที่เพิ่งเจอความระทมทุกข์แสนสาหัส รอบด้านมีแต่ความเงียบ ความเงียบที่เปลี่ยนเป็นเสียงร่ำไห้ได้ทุกเวลา สิ้นแผ่นดิน

ผมพาลูก ๆ ไปหาพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย เขาอาจไม่ทราบว่าในโลกแห่งความจริง พระองค์มีความหมายเช่นไร? หนังสือเรียนหรือคุณครูสอนเขาไม่ได้ ให้ท่องให้จำก็เป็นเพียงนกแก้วนกขุนทอง แต่เขาจะเห็นด้วยตาตัวเอง เห็นพ่อเห็นแม่ร้องไห้ อาลัยคนที่ทั้งชีวิตเคยพบเพียงหนเดียวตอนรับปริญญา

แปลก! ไม่ผิดหรอกที่ฝรั่งบางคนสงสัยว่ายูจะบ้าเหรอ ร้องไห้เศร้าเสียใจกับคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยเจอะเจอ หรือคนไทยถูกล้างสมอง? ใช่! พวกเราถูกล้างสมอง ด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก น้ำตาของเรา ไม่ได้ไหลเพราะความสูญเสียในคนรัก ไม่ได้ไหลเพราะญาติสนิทมิตรสหายจากไป น้ำตาเราไหลเพราะเรารู้ดี เราทราบดี คนที่รักแผ่นดินไทยมากที่สุด คนที่ทำให้แผ่นดินมากที่สุดได้จากพวกเราไปแล้ว เราเกิดมาในแผ่นดินนี้ เรารักแผ่นดินนี้ ที่นี่คือชาติของเรา

ทุกคนในโลกหล้าล้วนรักชาติของตนเอง หวังอยากให้เจริญก้าวหน้า เมื่อยูรู้ว่า คนรักชาติและทำเพื่อชาติของยูมากที่สุด ได้จากไปแล้ว ยูจะร้องไห้ไหม? ยูอาจไม่ร้องไห้ เพราะยูไม่เคยมีคนเช่นนั้นในชาติของยู แต่เรามี ประเทศนี้มี และมีมาแล้ว 70 ปี มันเป็นเอกสิทธิของชนชาตินี้เท่านั้นที่จะถูกล้างสมอง ถูกล้างให้รักใครคนหนึ่งเหลือเกิน รักจนใจแทบสลายเมื่อเขาจากไป น่าเสียดายที่พวกยูไม่มีสิทธิถูกล้างสมอง

ผมพาลูกผมไปวังในคืนนั้น เพื่อสักวันหนึ่งข้างหน้าอันไกลโพ้น ในเวลาที่เขาและเธอต้องตัดสินใจบางประการ เขาและเธออาจระลึกถึงวันหนึ่งที่พ่อแม่น้ำตาอาบแก้ม คืนหนึ่งที่ลุงป้าทรุดกาย หน้าแนบแผ่นดิน ก้มกราบกำแพงด้วยอาการใจสลาย และความทรงจำเล็ก ๆ เสี้ยวนั้น จะมีความหมาย เมื่อเขาเธอเติบโตขึ้นจนถึงเวลาต้องตัดสินใจทำอะไรสักประการ บางครั้งความดีกับความชั่วถูกกั้นด้วยเส้นบาง ๆ ทำให้เรามีข้ออ้างกับตัวเอง ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้ใครเขาก็ทำกัน มีแต่ความทรงจำเท่านั้นที่จะทำให้เส้นจาง ๆ เด่นชัดขึ้นมา ความทรงจำถึงพ่อแม่ลุงป้าก้มลงหน้าแนบพื้นถนนเพื่อกราบกำแพง กราบผู้ที่เพียรใช้ความดีสร้างชาตินี้ขึ้นมา หมอบกราบ “พระองค์ผู้ทรงทำ”

สี่ปีผ่านไป ทำไมความคิดถึงไม่น้อยลง ทำไมน้ำตาไม่น้อยลง ภาพ – คุณชัย ราชวัตร

ที่มา : Thon Thamrongnawasawat

Exit mobile version