เมื่อเวลา 14.35 น. วันที่ 18 ก.พ. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณา “ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี” วันที่สองนั้น
โดยนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมต้องปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 หมวด 5 มาตรา 60 ที่รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติของชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ต้องจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากการใช้คลื่นความถี่ ตามวรรคหนึ่งเน้นว่าการส่งกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ เพื่อเป็นไปตามประโยชน์สูงสุดความมั่นคงรัฐและประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งการให้ประชาชนมีส่วนใช้ประโยชน์ในคลื่นความถี่ตามที่กฎหมายบัญญัติ เรื่องนี้ตอนท้ายจะบอกว่าเพื่อป้องกันมิให้มีกลุ่มบุคคลใดใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่โดยไม่คำถึงประโยชน์ประชาชน รวมทั้งกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำที่ผู้ใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งมาตรา 164 (4) ต้องสร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรมผาสุกสามัคคีปรองดอง
พล.อ.ประยุทธ์ยังมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามพ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดินปี 2534 ในมาตรา 11 คือเรียกว่าท่านมีอำนาจบริหารทั้งหมด ทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง คำสั่งทุกอย่างทั้งการยับยั้งและการปฏิบัติการท่านมีอำนาจสูงสุด ทั้งเป็นนายกฯและเป็นรมว.กลาโหมที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศตามพ.ร.บ.การจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ซึ่งในกระทรวงกลาโหมมีส่วนบริหารของกองทัพต่าง ๆมากมาย และกองทัพกถือเป็นส่วนหนึ่งในกระทรวงกลาโหม แต่นายกฯปล่อยปละละเลยที่จะให้สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) ดำเนินการไม่โปร่งใส ตนได้เช็คประวัติความเป็นมาของททบ. 5 เริ่มต้นมานานแล้วตั้งแต่สมัยปี 2495 จากสังกัดกรมการทหารสื่อสาร และพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเป็นหน่วยงานของรัฐรูปแบบใหม่สังกัดกองทัพบกที่มีความสัมพันธ์กับกระทรวงกลาโหม กำกับโดยพล.อ.ประยุทธ์ ที่สำคัญกองทัพบกเป็นผู้ถือหุ้นททบ.5 จำนวน 19 ล้านหุ้น ถือว่าเป็นเจ้าของ เพราะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ต่อมาททบ.5 ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 46 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยยังมีกองทัพบกถือหุ้นรายใหญ่ กองทัพบกส่วนมากก็แต่งตั้ง ถอดถอนผู้บริหารสูงสุด สมัยพล.อ.ประยุทธ์เป็นผบ.ทบ.ก็ทำแบบนั้น และเป็นประธานกรรมการบริหารกิจการโทรทัศน์กองทัพบก โดยบุคลากรที่จะเข้ามาก็มาจากผบ.ทบ.แต่งตั้ง และผู้บริหารททบ.5 คนปัจจุบันคือพล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ในสมัยเป็นเสนาธิการทหารบกได้ไปเรียนวปอ.ได้ทำงานวิจัยไว้ 1 ชิ้นที่ทำตั้งแต่ปี 50-51 มี 9 เรื่อง อาทิ เรื่องความแตกแยกความคิดทางสังคม เรื่องความไม่เชื่อมั่นในระบบสถาบันการเมือง การขาดความสมดุลการรกัษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว เป็นต้น แต่ทำไมมาเป็นนายกฯ 8 ปี ถึงทำ 9 เรื่องนั้นไม่ได้ ถามว่าทำเองหรือใครช่วย แต่วันนี้ตนจะนำเรื่องททบ.5 มาเล่าให้ประชาชนฟัง
ททบ.5 มีการทำงานดำเนินการโดยคณะผู้บริหารที่ตนมองว่าไม่โปร่งใส โดยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และบริษัทกาแล็กซี่ มัลติมีเดียคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ร่วมลงนามกันผลิตข่าวททบ.5 มิติใหม่เมื่อปี 2565 มีกระแสข่าวเยอะแยะ เรื่องนี้เห็นภาพ เขาแถลงข่าวกันใหญ่โต มันจับข้อพิรุธเรื่องความไม่โปร่งใสได้ เป็นข้อเคลือบแคลงสงสัย มีพฤติกรรมลงนามดังนี้ ข้อที่ 1 ในเบื้องต้นกระแสข่าวว่ามีบริษัทหนึ่งชื่อท็อปนิวส์ ดิจิตัล เป็นของคนชื่อสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม จะเข้ามาดำเนินการผลิตข่าวในททบ.5 ท็อปนิวส์เคยร่วมหัวจมท้ายอยู่หลายช่อง ภาษาบ้านเราว่าไปช่องไหนก็เจ๊ง
ทั้งนี้นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้เตือนนายสมคิดว่าพยายามหลีกเลี่ยงบุคคลที่ 3 แต่นายสมคิดกล่าวชี้แจงว่า “ยังไม่ได้เอ่ยชื่อ เอ่ยชื่อเพียงท่านเดียว แต่ก็ไม่เสียหาย เพราะเป็นเรื่องจริง” แต่นายสุชาติยังกล่าวย้ำเตือนว่า “ไม่เอ่ยชื่อดีที่สุด”
จากนั้นนายสมคิด อภิปรายต่อว่า การเสนอข่าวต่าง ๆ เหล่านั้น ตนไม่ได้ว่าข่าวใครเป็นกลางไม่เป็นกลาง ในที่สุดผุ้บริหารช่องบางคนรักษาผลประโยชน์และภาพลักษณ์เขากก็ไม่เห็นด้วยและคัดค้าน หลายท่านคัดค้านว่าไม่อยากให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้เข้ามาทำข่าว เข้ามาดำเนินการ ซึ่งก็สอดคล้องกับสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์เขียนงานวิจัยว่าเข้ากลัวไปสร้างความแตกแยก สร้างปัญหาให้กับช่องเขา เมื่อท็อปนิวส์อาจมีปัญหาเรื่องความเป็นกลาง เพราะผลงานที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ จึงไปตั้งบริษัทหนึ่งชื่อว่าบริษัทกาแล็กซี่ มัลติมีเดียคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ไม่แน่ใจว่าตั้งเพื่อหลบเลี่ยง หรือหลอกคนอื่นว่าเป็นบริษัทใหม่ เพราะตนไปเจอข้อพิรุธว่าเป็นการอุปโลกน์ เพราะเป็นนิติบุคคลเดียวกันกับบริษัทท็อปนิวส์ฯ จดทะเบียนเพียง 7 วันก็มีผู้บริหารใหญ่ ททบ.5 ไปร่วมจดทะเบียน ทั้งที่ผลงานก็ไม่มีเป็นที่ประจักษ์ คนก็ห่วงใยกองทัพบก เพราะเห็นว่าผู้ประกาศคนเหล่านี้ก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม นายกฯต้องเข้าไปดู ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการอภิปรายได้นายสมคิดได้นำสไลด์ภาพประกอบเป็นภาพข่าวพิธีกร และผู้ประกาศของสำนักงานข่าวท็อปนิวส์ยืนโปรโมทช่องท็อปนิวส์มานำแสดงในการอภิปรายด้วย
อย่างไรก็ตาม ได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์ว่า การอภิปรายของนายสมคิด ดูเหมือนจะเป็นการเพิ่มเรตติ้งให้ทั้ง 2 ช่อง มากกว่าที่จะออกมาโจมตีด้วยซ้ำ รวมทั้งประชาชนบางส่วนก็ไม่ให้ราคากับเรื่องที่ฝ่ายค้านกล่าวถึง 2 สถานีข่าวชื่อดังด้วย