เปิดลึกสัมพันธ์ “ทักษิณ” ถ้าไม่มี “พล.ต.จำลอง” คงไม่ได้เป็นนายกฯ? เผยเหตุถูกซัด เนรคุณ!?

1665

เปิดลึกสัมพันธ์ “ทักษิณ” ถ้าไม่มี “พล.ต.จำลอง” คงไม่ได้เป็นนายกฯ? เผยเหตุถูกซัด เนรคุณ!?

จากกรณีที่นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาพูดในคลับเฮ้าส์เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถึงการตั้งพรรคใหม่ โดยบอกว่า นายโทนี่กล่าวหาว่า นายกฯ ประยุทธ์ ให้ตนไปตั้งพรรคการเมืองและบอกว่า นายกฯ ประยุทธ์ ทำตัวเหมือนพญาหงส์ ไม่กล้าลงหนองน้ำเล็ก ปล่อยให้กิ้งกือไส้เดือนอย่างตนไป ยืนยันว่า การไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ นายกฯ ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นผู้สั่งการ เป็นการคิดและดำเนินการของตนเอง ซึ่งตนเห็นว่าชื่อพรรคมีความหมายดี ตนจึงสนับสนุนพรรคนี้ ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับนายกฯ เพราะท่านนายกฯ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวสั่งการตนกับเรื่องพรรคนี้

ไม่เหมือนในอดีตที่นายทักษิณฯ ได้เป็น ส.ส.และเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม เพราะพลตรีจำลอง ศรีเมือง และตอนหลังตามกระทืบตามกัด พลตรีจำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม แบบเอาเป็นเอาตาย จนพลตรีจำลอง ต้องเอามวลชนมาขับไล่ คนที่เนรคุณพลตรีจำลอง ที่อุตส่าห์สนับสนุนให้ลงสู่ถนนการเมืองแบบนี้ใช้ได้หรือไม่ ตัวอย่างผู้นำที่เนรคุณผู้มีพระคุณทำกับพลตรีจำลอง เช่นนี้ใช้ได้หรือไม่

และวันนี้ นายเสกสกลยังได้พูดถึง ทักษิณ และพล.ต.จำลอง โดยมีบางช่วงบางตอนที่นายเสกสกล กล่าวว่า สมัยปี 38 ที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม นายทักษิณ ได้เป็นส.ส.กทม.สมัยแรกเพราะตน รวมถึงพล.ต.จำลอง ที่มาช่วย ภายหลังนายทักษิณ ตั้งพรรคไทยรักไทย แล้วมาเล่นงานพล.ต.จำลอง เขาก็เลยต้องเอามวลชนมาขับไล่ สิ่งที่ตนอยากบอก นายทักษิณ ไม่เคยนึกถึงบุญคุณใคร แม้แต่พล.ต.จำลองเคยให้พรรคให้โอกาส ก็ตามไล่ตามเช็ดพล.ต.จำลอง และในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯตนก็ช่วยให้ได้เป็นนายกฯ ซึ่งนายทักษิณไม่เคยเห็นค่ามีแต่ด้อยค่าคนอื่น ถือเป็นนิสัยคนรวยคนมีอำนาจที่หลงตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวเดอะทรูธ เราจะพาย้อนไปเมื่อครั้งที่ พล.ต.จำลอง ได้ชักชวนนายทักษิณเข้าสู่สนามการเมือง ย้อนไปเมื่อปี 2537 ช่วงที่รัฐบาลชวน หลีกภัย 1 กำลังจะปรับ ครม. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ได้เดินทางไปยังตึกชินวัตร และขึ้นไปยังห้องทำงานของนายทักษิณก่อนเอ่ยปากเชิญมาเป็น รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ในโควต้าของพรรคพลังธรรม เบื้องต้นทักษิณขอปรึกษาครอบครัวก่อน และก็ได้ตอบตกลงในอีกไม่กี่วันต่อมา จึงสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นี่แหละ คือผู้ที่ผลักดันให้นายทักษิณเข้าสู่สนามการเมือง แต่การที่นายทักษิณเข้ามาเป็น รมว.ต่างประเทศ ในโควตาพรรคพลังธรรมในครั้งนั้น

ต่อมาในปี 2538 รัฐบาลชวน หลีกภัย 1 ประกาศยุบสภา นายทักษิณก็ได้รับการสนับสนุนจาก พล.ต.จำลอง ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคพลังธรร” ก็ถือเป็นพรรคที่มีวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจยิ่ง แต่ผลที่ออกมา ปรากฎว่า ล้มเหลว เพราะในการเลือกตั้งครั้งนั้น จากการนำทัพของนายทักษิณ ทำให้พรรคพลังธรรม ได้ ส.ส.เพียง 23 คน ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ในปี 2535 ที่ได้จำนวนถึง ส.ส. 47 คน

และในเวลาต่อมา นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น ก็ได้ประกาศยุบสภา ในปี 2539 ซึ่งในการเลือกตั้งปีนั้น นายทักษิณก็ยังรับบทบาทเป็นหัวหน้าพรรค แต่ไม่ลงสมัคร ส.ส.ด้วย โดยพลังธรรมได้ ส.ส.แค่ 1 คน เท่านั้น คือ สุดารัตน์ เกยุราพันธ์

ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ในปี 2539 พล.ต.จำลอง ก็ลงชิงตำแหน่งด้วย หวังกลับมาโลดแล่นทางการเมืองอีกครั้ง โดยนายทักษิณได้พยายามปรับลุคใหม่ให้กับ พล.ต.จำลอง เพื่อให้โดนใจคนรุ่นใหม่ ด้วยการจับแต่งตัวตามสมัยนิยม เดินหาเสียง แทนที่จะใส่เสื้อม่อฮ่อม ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่แล้ว พล.ต.จำลอง ก็แพ้ศึกเลือกตั้งในครั้งนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

ต่อมาในปี 2541 ทักษิณจึงได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา วางแนวทางให้ตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ พล.ต.จำลอง ก็ยังคงรักใคร่กันดี จนกระทั่งพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 2544 พล.ต.จำลอง ก็เป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษานายกฯ

จนกระทั่งมาถึงจุดแตกหักระหว่างนายทักษิณและพล.ต.จำลอง เกิดขึ้นช่วงการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ปี 2547 ซึ่งเกิดจากความไม่พอใจของทั้งสองฝ่ายมาอย่างยาวนานแล้ว จนกลายเป็นวิวาทะโต้ตอบกันฝ่ายสื่อ โดยในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งนั้น พล.ต.จำลอง ต้องให้นายทักษิณและพรรคไทยรักไทย สนับสนุน ดร.มานะ มหาสุวีระชัย อดีตสมาชิกพรรคพลังธรรม แต่นายทักษิณก็บ่ายเบี่ยง เพราะ ดร.มานะ เคยทำให้ทักษิณ และสมาชิกพรรคไทยรักไทยสายพลังธรรมเดิม ไม่พอใจ เนื่องจากไปสมัครเข้าพรรคประชาธิปัตย์ แทนที่จะเลือกพรรคไทยรักไทย ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากคู่แข่งอื่นๆ ในสนามเลือกตั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อภิรักษ์ โกษะโยธิน , ร.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือแม้กระทั่ง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็เป็นเรื่องลำบากที่จะดัน ดร.มานะ ให้ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งได้

เมื่อนายทักษิณมีท่าทีปฏิเสธไม่ทำตามความต้องการของ พล.ต.จำลอง จึงเริ่มแสดงท่าทีที่ไม่พอใจชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยครั้งหนึ่งเขาได้ตอบคำถามสื่อฯ ถึงการที่ตนสนับสนุน ดร.มานะว่า เพื่อให้เป็นแรงถ่วง ไม่ให้ทักษิณลืมตัวไปมากกว่านี้ แม้จะเป็นเหตุผลที่ทำให้นายทักษิณจุกและเจ็บ แต่ก็พยายามไม่ให้เหตุการณ์บานปลาย จึงเพียงกล่าวผ่านสื่อแบบติดตลกว่า “พี่จำลอง เปลี่ยนไป๋”

แต่เมื่อความไม่พอใจของทั้งสองฝ่าย มันก็ยากที่จะหยุด และพล.ต.จำลอง เลือกวิธีดับเครื่องชน โดยได้ให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่า ที่ต้องสนับสนุน ดร.มานะ ก็เพื่อไถ่บาป ที่ตนเป็นคนชักนำนายทักษิณเข้ามาสู่วงการเมือง ด้วยบุคลิกของนายทักษิณ ที่ปกติไม่ยอมให้ใครด่าฟรีๆ อยู่แล้ว ก็ฟิวส์ขาด จึงให้สัมภาษณ์สวนกลับไปว่า พล.ต.จำลองเป็นเพียงแค่คนรู้จัก ไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษ ซึ่งคำพูดดังกล่าว ก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศตัดขาด ตัดเยื่อใย ความสัมพันธ์ของคู่จึงแหลกสะบั้นลง นับจากนั้นมา

ทั้งนี้ พล.ต.จำลอง ยังเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อด้วยว่า “ผมยังจำคำนี้ได้ คุณทักษิณบอกว่า ทำได้อย่างมากก็แค่ครึ่งหนึ่งของพี่ลอง ผมรู้เลยว่าทักษิณมาถึงทางตันเพราะผม แต่ถึงทางตันแล้วผมถอย ตรงกันข้ามทักษิณกลับไปเลือกเล่นการเมืองแบบเก่าจนได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ตอนที่เขาเปิดตัวพรรคไทยรักไทยที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีสมาชิกมาจากพลังธรรมกว่าร้อยละ 80 และก่อนจะตั้งพรรคไทยรักไทยคุณสุดารัตน์ที่เป็นเลขาพรรคพลังธรรมขณะนั้น ก็ไปตั้งกลุ่ม “พลังไทย” กวาด สก. และ สข.ไปหมดเพื่อเป็นฐานให้ทักษิณ โดยต่างรู้กันดีว่าฐานเหล่านั้นล้วนมาจากพรรคพลังธรรม ถ้าตอนนั้นผมไม่ดึงเขาเข้ามาในพลังธรรม ทักษิณคงยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าจะโทษใครละก็ ผมนี่แหละเป็นจำเลยหมายเลข 1”

“แต่ผมจะรู้หรือว่าเขาโลภขนาดนี้” พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า “ถ้าคุณมีน้องคนหนึ่ง คุณจำเป็นต้องไปรองรับตลอดชาติเลยหรือว่าเขาจะไม่โกง จะไม่โลภ และไม่ใช่ผมเห็นว่าเขาดีคนเดียว ผู้ใหญ่หลายคนก็เห็นว่าเขาเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ ในขณะนั้น ที่เขาขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก ไม่สมควรอย่างยิ่ง เป็นการขายความมั่นคงของชาติและใช้ช่องทางกฎหมายหลีกเลี่ยงการเสียภาษี 2.6 หมื่นล้าน ถ้าผมจะเอาตัวรอด นั่งยิ้มเฉย ๆ ก็ได้เพราะเขาเป็นน้องผม ไม่ต้องมากินนอนกลางถนน 384 วัน 384 คืน แต่ผมทำไม่ได้ต้องออกมาต่อต้าน เพราะมันทำลายชาติบ้านเมือง”