ความตึงเครียดในภูมิภาคดอนบาสก์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครนได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการโหมโฆษณาของสหรัฐและตะวันตกว่ารัสเซียกำลังวางแผนบุกยูเครน มอสโกได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่มีมูล และชี้ว่า สหรัฐและพันธมิตรเป็นฝ่ายวางแผนยั่วยุ หนุนสงครามยูเครน ในดอนบาสก์ ความขัดแย้งในยูเครนตะวันออกปะทุขึ้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2014 หลังจากที่โดเนตสค์และลูกาสค์ประกาศอิสรภาพจากเคียฟ ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกในการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่นิยมรัสเซีย สงครามส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30,000 คน โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายหมื่นคน และประชาชนมากกว่า 2.5 ล้านคน พลัดถิ่น
ล่าสุด สาธารณรัฐโดเนตสค์และลูกาสค์ที่แยกตัวออกจากเคียฟ ได้รายงานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกองทหารของยูเครนและยุทโธปกรณ์ที่อยู่ใกล้กับแนวปะทะติดเขตแดน
พ.ต.ท.เอดูอาร์ด บาซูริน ผู้บัญชาการระดับสูงในกลุ่มและโฆษกกองกำลัง สาธารณรัฐประชาชนดอนบาซ(Donbass People’s Republic) อ้างว่ามีทหารรับจ้างที่พูดภาษาโปแลนด์ประมาณ 40 คน พบเคลื่อนไหวอยู่ที่แนวหน้าใกล้กับเมืองโปปันซา เมืองลูฮันสค์
เขาเปิดเผยว่า กองกำลังใหม่ของยูเครน มาพร้อมกับ ระบบขีปนาวุธ S-300 ปืนใหญ่จรวด และทหารรับจ้างต่างชาติ ถูกพบใกล้แนวหน้า พื้นที่แยกระหว่างกองกำลังเคียฟและกองทหารอาสาสมัครของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ (DNR)
บาซูรินกล่าวเสริม โดยอ้างถึงชื่อทางการที่เคียฟใช้เพื่ออ้างถึง ในการปฏิบัติการทางทหารใน ดอนบาสก์ว่า“กองพันขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน S-300 ได้ถูกย้ายจากภูมิภาคโอเดสซาและนำไปใช้ที่สนามบินครามาทอร์ซ (Kramatorsk) เพื่อครอบคลุมตำแหน่งบัญชาการของสำนักงานใหญ่หน่วยปฏิบัติการกองกำลังร่วม”
อุปกรณ์ทางทหาร MLRS และยานพาหนะสนับสนุนตั้งใน 5 ฐานปฏิบัติการที่ควบคุมโดยเคียฟซึ่งอยู่ห่างจากแนวพื้นที่ขัดแย้งไม่ถึง 30 กม.
บาซูริน ระบุเพิ่มเติมว่าหน่วยข่าวกรองของพีเพิลมีลิเตีย( People’s Militia) ได้ตรวจพบทหารรับจ้างชาวอังกฤษและชาวโปแลนด์ที่ทำงานอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับการตั้งฐานโดยการปรากฏตัวของพวกเขาในดอนบาสก์ ยังได้รับการยืนยันด้วย “ข้อมูลจากโอเพ่นซอร์ส”
ภูมิภาคดอนบาสก์ ตกอยู่ในสถานะสงครามกลางเมืองกับเคียฟ ตั้งแต่การลงนามในข้อตกลงสันติภาพมินสค์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ซึ่งการหยุดพักรบจากการเจรจาทำให้กองกำลังของเคียฟและสาธารณรัฐที่แยกตัว ถอนกองกำลังและยุทโธปกรณ์หนักออกจากแนวหน้า
รัฐบาลชุดปัจจุบันในเคียฟได้ปฏิเสธการดำเนินการตามขั้นตอนทางการเมืองตามข้อตกลงสันติภาพมินสค์ ซึ่งกำหนดให้รัฐบาลยูเครนต้องยอมรับสาธารณรัฐในเขตดอนบาสก์ เพื่อกลับคืนสู่สภาพสันติ และมีการกระทบกระทั่งทางการทหารในเขตพื้นที่ขัดแย้งอยู่เนืองๆ
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มอสโกว์เตือนว่าจะไม่ยอมให้เคียฟหรือผู้อุปถัมภ์ตะวันตกทำการยั่วยุ หรือการโจมตีใดๆ ต่อพลเมืองรัสเซียที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง ด้านกองกำลังติดอาวุธของโดเนตส์และลูกาสค์ (Donets, Lugansk) ได้ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในติดตามการสร้างอุปกรณ์ทางทหารและยานเกราะของยูเครน ตลอดจนการเคลือนไหวของบุคลากรทางทหารที่อยู่ใกล้เขตขัดแย้ง ทั้งนี้พวกเขามั่นใจว่ายูเครนกำลังเตรียมการโจมตี
บาซูรินสรุปว่า“การสนับสนุนถ่ายโอนกระสุนทุกประเภทและอาวุธร้ายแรงอื่นๆจากตะวันตก ไปให้ยูเครนจะนำไปสู่การยกระดับความขัดแย้งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน(Volodymyr Zelensky) กล่าวในการพบปะกับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของเขาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “เวลานั้นมาถึงแล้ว ไม่เพียงแต่เพื่อการป้องปรามอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังรวมถึงการดำเนินการเชิงรุกในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติยูเครนด้วย”
เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2565 ประธานาธิบดีเซเลนสกี้ ได้ลงนามในพระราชกฤษฎีกาเพื่อเพิ่มกองกำลังติดอาวุธของยูเครนอีก 100,000 คน และสร้างกองทหารเพิ่มอีก 20 กองพล การจัดหาบุคลากรของพวกเขาต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์จำนวนมาก มีรายงานว่าหัวหน้าหน่วยบริการชายแดนแห่งยูเครนได้สั่งให้จำกัดการออกจากประเทศของพลเมืองชายอายุ 18 ถึง 45 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป