สหรัฐอเมริกา มหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อโลกในทุกมิติมานับหลายทศวรรษ ต้องเผชิญกับมหาภัยพิบัติรอบด้านในวันนี้ ทั้งโรคระบาดใหญ่ไวรัส โควิด-19 สภาพชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบากของประชาชนที่ตรงข้ามกับตัวเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ดูดี ความขัดแย้งรุนแรงของความคิดต่างของคนอเมริกันผิวขาว-ผิวสี ไฟป่า พายุและน้ำท่วม ขณะที่เค้าลางความขัดแย้งรุนแรงใกล้ปะทุเมื่อวันเลือกตั้งใกล้เข้ามา เพราะความแตกแยกทางความคิดลึกซึ้งยากประสาน ผู้นำป่วย
นสพ.ดิแอตแลนติกได้เผยแพร่บทวิเคราะห์สังคมอเมริกันและคาดสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งไว้อย่างน่าสนใจโดย เจเอ็ม เบอร์เกอร์ เรียบเรียงเนื้อหามาดังนี้คือ:
คนอเมริกันจะต้องจดจำปี 2020 ในหลายสิ่ง ปีที่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว เพราะต้องจมอยู่กับออนไลน์ ปีที่มีคนตายมากมาย ปีที่มีการประท้วง ปีของทฤษฏีสมคบคิด-คิวเอนอน ปีของการก่อการร้ายในประเทศ ปีของการเลือกตั้ง
ปีแห่งความสับสนเคว้งคว้างของอเมริกันชน
เหนือสิ่งอื่นใด บางทีมันเป็นปีที่ไม่รู้อะไรเลย มันปลอดภัยมั้ยถ้าจะส่งลูกๆไปโรงเรียน? ฉันจะไปซื้อของที่สโตร์ได้ไหม? ฉันควรจะลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ดีไหม? ฉันจะมีงานทำไหม? ทำปลอดภัยหรือเปล่าที่จะไปทำงาน? ฉันจะมีค่าใช้จ่ายพอไหมถ้าอยู่บ้าน? ปลอดภัยไหมที่จะออกกำลังกาย? ถ้าจะขึ้นเครื่องบินล่ะ? ฉันจะต้องทำความสะอาดไปรษนียบัตรด้วยไหม? แล้วร้านของชำหล่ะ? ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคเค้าว่าไงบ้าง? ฉันยังเชื่อใจศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคได้ไหมเนี่ย?
พายุแห่งความไม่แน่นอนโหมใส่แผ่นดินอเมริกาในปีนี้ และมันสร้างความเดือดร้อนและฉีกอเมริกาเป็นชิ้นๆอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สังคมอเมริกันชะงักงันอย่างไม่ได้คาดหมายและต้องเผชิญกับเชื้อโรคตัวเล็กจิ๋วที่อธิบายคำจำกัดความของมันโดยแพทย์ นักการเมือง ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อน ครอบครัวและอินเตอร์เน็ต การระบาดใหญ่เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งในอดีตไม่มีใครคาดเดาได้และกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับอนาคต
สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ผิดเพี้ยนอย่างมากเกี่ยวกับระบบที่แวดล้อมเราอยู่ เราถูกปิดกั้น และต้องต่อสู้กับข้อมูลหลากหลายที่หลั่งไหลเข้ามาถึงหน้าประตูบ้านว่าอะไรจริงอะไรเท็จ โดยมีชีวิตของลูกหลาน พ่อแม่ คนรักและเพื่อนบ้านเป็นตัวประกัน
ถ้าผู้คนไม่รู้ความจริง เมื่อเกิดสภาพความสับสนไม่มั่นคง ก็จะวิ่งหาคำตอบที่มั่นใจได้จากความคุ้นเคยเช่นจากกลุ่มการเมือง ศาสนา หรือจากอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ และคนอเมริกันบางกลุ่มก็ตอบสนองสถานการณ์เช่นนี้โดยการใส่เมล็ดพันธ์แห่งความรุนแรงเข้าไปเพาะเชื้อผ่านโซเชียลมีเดีย
ใครทำให้อเมริกาเป็นแบบนี้
ระยะเวลา 3 ปีครึ่งของทรัมป์ ทีมบริหารของทรัมป์ได้ใส่ข้อมูลเท็จและครอบงำความคิดคนอเมริกันผ่านข้อมูลบิดเบือนจากรัฐบาลทั้งเรื่อง ความมั่นคงของประเทศ นโยบายต่างประเทศ และแม้แต่สภาพภูมิอากาศ
แต่ฉันทามติที่เสื่อมโทรมของคนอเมริกันไม่ได้เกิดจากทรัมป์ เพราะประธานาธิบดีคือผลิตผลของผู้กำกับอยู่เบื้องหลังต่างหาก
การเติบโตของอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียได้ชี้นำความคิด ความเชื่อของคนอเมริกันอย่างลึกซึ้ง ชุมชนความเชื่อเฉพาะเรื่องได้เกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว โซเชียลมีเดียได้ปฏิวัติศิลปะแห่งการแสวงหาฉันทามติใหม่ๆ การคลิกคือความเสมอภาค การโพสต์คือการมีชีวิตจะได้รับการตอบสนอง
การให้ข้อมูลสับสนเกี่ยวกับการระบาดโควิด-19 รัฐบาลทำให้ความเข้าใจเรื่องการป้องกัน ไวรัสโควิด-19ไม่เป็นเอกภาพ ปฏิเสธการสวมหน้ากากว่า ป้องกันการแพร่เชื้อโรคไม่ได้จริง ทำให้เกิดผลบั้นปลายต่อคนอเมริกัน และรวมทั้งตัวทรัมป์และทีมงานบริหารอย่างสาหัส
สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้คนอเมริกันทั้งสับสน หวาดวิตกและไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร
ทฤษฎีสมคบคิดQanon แผลงฤทธิ์
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง คิว และความสุดโต่งแบบดั้งเดิมโดยข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าสาวกของพวกเขาไม่ได้ยอมรับว่าจะก่อความรุนแรง เพื่อต่อต้านพวกบูชาซาตาน พวกกินเนื้อมนุษย์ พวกใคร่เด็ก เพราะว่าพวกเขาเชื่อว่า ทรัมป์จะต่อสู้และได้รับชัยชนะจากพวกนี้
สิ่งเหล่านี้อาจเปลี่ยนไปถ้าทรัมป์แพ้ในเดือนพฤศจิกายน หรือป่วยหนักเพราะโควิด-19 เหล่าสาวกอาจรู้สึกว่าต้องการตัดสินใจด้วยตนเอง ถ้าแม้ว่าทรัมป์ชนะก็ไม่สามารถหยุดยั้งความรุนแรง สาวกคิวพร้อมที่จะลงถนนเพื่อเรียกร้องทางการเมือง ลองจินตนาการถ้าเครื่องมือของรัฐถูกปรับใช้เพื่อสนองตอบความต้องการของพวกเขาคงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเชิงก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่แน่
ถ้าคุณคือกลุ่มคน ที่อยู่นอกฉันทามติสาธารณะ มันจะไม่เป็นที่สนใจของกลุ่มคิวเอนอนและ กลุ่มนิยมความรุนแรงอื่นๆที่เป็นพวกนอกคอก คนแปลกแยกหรือ คนที่มีความผิดปกติทางจิต ความเชื่อของสาวกเหล่านั้นจะตรงกันข้ามกับการครอบงำแบบฉันทามติสาธารณะ หรือบรรทัดฐานสังคมร่วม ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้รู้สึกว่าเป็นคนนอกและพวกเขาแตกต่างไม่เป็นที่ยอมรับทำให้เกิดความเครียด
แต่ตามโพลเมื่อเร็วๆนี้ จำนวน 32%ของผู้ตอบแบบสำรวจ เชื่อว่า คิวเอนอนเป็นความจริง และ3ใน4 ของชาวรีพับลิกันกล่าวว่า นั่นเป็นเรื่องจริง การเคลื่อนไหวสามารถยืนยันว่าผู้สนับสนุนนับล้านๆเชื่อเช่นนั้น คนส่วนใหญ่ในกลุ่มซึ่งมากพอที่จะก่อรูปทัศนคติความเชื่อหรือฉันทามติของพวกเขาให้เป็นจริงได้ แม้ว่าจะมีการยับยั้งโดยแพลตฟอร์มหลัก เพื่อจำกัดการเติบโตของคนเหล่านี้ แต่การแพร่ความคิดได้ดำเนินการมานานแล้ว
การเติบโตทางฉันทามติที่แตกต่างสร้างความร้าวฉานในสังคมอเมริกันอย่างไม่เคยมีมาก่อน กลุ่มผู้สนับสนุนไบเดน พรรคเดโมแครตนอกจาก BLM ก่อเกิดกลุ่มที่มีท่าทีก้าวร้าวรุนแรง ตั้งชื่อกันหลากหลาย เช่น กลุ่มนิโอนาซี, เดอะเน็กซ์, บัคกาลู เป็นต้น ส่วนกลุ่มสนับสนุนทรัมป์ พรรครีพับลิกันและเชื่อในทฤษฏีสมคบคิด คิวเอนอน ได้แก่ กลุ่มอินเซลส์, พราวด์บอยส์, ผู้สวดมนต์ที่รักชาติ, โอตคีปเปอร์ เป็นต้น
คนอเมริกันจะไปทางไหนดี?
การเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญ โดนัลด์ ทรัมป์เป็นคู่แข่งขันที่ควบคุมยาก เป็นคนที่เอาแน่นอนไม่ได้แต่ไม่ใช่แมลง(ที่จะบี้ตายง่ายๆ)ทั้งมีลักษณะเฉพาะตัว สำหรับโจ ไบเดนคือคู่แข่งสำหรับทรัมป์ก่อนหน้านี้ เป็นคนที่คาดเดาได้แต่ไม่ใช่อเนกประสงค์
รากเหง้าที่ไม่มั่นคงของอเมริกาต้องการทรัมป์นำ แต่ทั้งโควิด-19 หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะหายไปถ้าไบเดนได้รับเลือกตั้ง การแข่งขันน่าจะทำให้บรรเทาความไม่แน่นอนและความขัดแย้งบางประการ แต่กลายเป็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้เกิดกลุ่มนิยมความรุนแรงและการกระทำของทรัมป์เหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟด้วย
การเลือกตั้งคือสถานการณ์ที่ดีที่สุดของการปกป้องคนอเมริกันจากความไม่แน่นอน แต่มันกลับเพิ่มความไม่แน่นอนมากขึ้น อย่างน้อยก็ในระยะเวลาหนึ่ง มลรัฐหลักๆอาจต้องเลือกตั้งในตอนกลางคืน ผู้สนับสนุนทรัมป์จะกล่าวหาว่ามีการโกงแบบมโหฬาร และคนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก็จะปฏิเสธที่จะถ่ายโอนอำนาจ
สถานการณ์เลวร้ายที่สุดยังดำรงอยู่ก็คือ ข่าวทรัมป์ติดโควิด-19และผู้ปฏิบัติงานในทำเนียบขาวติดโควิด-19 ซึ่งคาดเดาได้ถึงความโกลาหล ที่ทีมบริหารต้องจัดการกับความสับสนและข้อมูลข่าวสารที่ไม่น่าเชื่อถือ สถานะทางสุขภาพของประธานาธิบดีไม่แน่นอนยิ่งกว่าแมวของชโรดิงเงอร์(การทดลองสถานะทางควันตัมของแมว-เป็นหรือตายเท่ากัน) และภูมิปัญญาการเลือกของเขาในระหว่างเวลานี้ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ตลอดไป ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร
ทางเลือกใหม่ของคนอเมริกัน-ไบเดนหรือ?
ควันแห่งความสับสนจะจางลง และอเมริกาจะยืนอยู่ได้หลังจบศึกเลือกตั้ง 2020 ในท่ามกลางวิถีแห่งความเครียด เมื่อถึงเวลานั้น ถ้าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงคนอเมริกันคงต้องพร้อมกับทางเลือกใหม่
คนรุ่นใหม่ที่เลือกความรุนแรงสุดโต่งต้องเริ่มจากการสร้างมติมหาชน ซึ่งจะสร้างความต้องการสู่สังคมที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายในมิติที่หลากหลาย ต้องมุ่งไปที่การปฏิรูประบบยุติธรรมและการสาธารณสุข กลยุทธ์คือการหาหนทางรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น สื่อสารให้ชัดเจนว่าสาธารณชนคาดหวังอะไร แล้วมอบสิ่งที่ความคาดหวังของสังคมนั้นต้องการ
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพอาจช่วยได้ การวิจัยเชิงประจักษ์แสดงว่า ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแน่นอนมีผลกระทบกับแนวความคิดที่แกว่งไกวไม่ชัดเจน และเยียวยาความรู้สึกของผู้คนจากการเข้าร่วมในกิจกรรมรุนแรงสุดโต่งได้ ข้อมูลเหล่านั้น ต้องมาจากหลายๆระดับทั้งจากรัฐบาลและสังคม ต้องพุ่งเป้าอย่างระมัดระวัง เพื่อลดความไม่มั่นใจ โดยสร้างความน่าเชื่อถือหรือ การอธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการให้บรรลุผล เช่นข้อมูลข่าวสารไม่ควรเป็นไปอย่างรุนแรงสุดโต่งตลอดเวลา แต่มีเป้าหมายสู่ความรุนแรงในที่สุด
ผู้ชนะที่แท้จริงคือราชาโซเชียลมีเดีย?
ต้องประดิษฐ์สร้างถ้อยคำหรูหราและต้องผ่านขั้นตอนอันเจ็บปวดในการสร้างสังคมที่เหนือกว่ามติมหาชนที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน โดยสามารถเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบและเกิดแรงต้านทานน้อยที่สุด ไม่เคยมีผลสำเร็จที่สมบูรณ์ แต่ความสุดโต่งมันอยู่กับเราอยู่แล้วเมื่อคนมาอยู่รวมกันมากๆซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
สำหรับความพยายามที่จะช่วงชิงโอกาส สามารถทำให้ชนะอุปสรรคในการสร้างมติมหาชนสำเร็จได้ในที่สุด คนอเมริกันต้องต่อสู้กับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และบริษัทอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับแบบแผนการดำเนินธุรกิจของพวกเขาซึ่งปิดกั้นและสนับสนุนอย่างไม่ซื่อตรง ต่อมายาคติและมติมหาชนที่แปลกปลอม ถึงแม้ว่า แพลตฟอร์มหลักจะยังคงรับรองการกระทำของตัวเองว่าได้จัดการความรุนแรงสุดโต่ง แต่ระยะเวลาในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างเชื่องช้า
เราต้องการผู้นำเทคโนโลยีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบจนถึงราก แทนการเคลือบผลิตภัณฑ์ของพวกเขาด้วย การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพแบบปลอมๆและโบกมือลาขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับอำนาจทางการเมือง ทีมเทคโนโลยีของฝ่ายบริหารปธน.ทรัมป์ ที่ใช้วิธีการโกหกและครอบงำ ไม่สามารถตามทันและต้องยอมจำนนต่อทฤษฎีที่เอื้อประโยชน์ของทีมบริหารของไบเดนในที่สุด
บริษัทที่ควบคุมการโต้วาทีสาธารณะคาดหวังให้เกิดมูลค่ากับความจริงด้วยการคลิก และได้แสดงโมเดลธุรกิจที่ทำให้เกิดความแตกแยกและทำลายล้างอย่างต่อเนื่อง
โดนัลด์ ทรัมป์อาจมีหรือไม่มีสำนักงานในทำเนียบขาวในปี 2021 แต่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และแจ็ค ดอร์เซย์ยังคงมีความมั่นคงอยู่ต่อไป พวกเขาพาเรามาอยู่ริมหน้าผา สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้เวลานี้คือ แยกไปอยู่ด้านข้าง และปล่อยให้ผู้นำคนรุ่นใหม่พาเราเดินต่อไป