สัญญาณลต.? กกต.เคาะแล้วส.ส.เขต 400 ที่นั่ง กทม.มากสุด กลาง-อีสานเยอะ เปิด 4จว.มีแค่คนเดียว!

1248

สัญญาณลต.? กกต.เคาะแล้วส.ส.เขต 400 ที่นั่ง กทม.มากสุด กลาง-อีสานเยอะ เปิด 4จว.มีแค่คนเดียว!

จากกรณีที่วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2565) มีรายงานว่า นายกิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการกกต.ปฏิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการกกต.มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 1 ก.พ.65 ถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร แจ้งประกาศจำนวนราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์และการเตรียมความพร้อมในการแบ่งเขตเลือกตั้งส.ส. หลังสำนักทะเบียนกลางกระทรวงมหาดไทย ส่งประกาศสำนักทะเบียนกลางเรื่องจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์ ณ วันที่ 31 ธ.ค.64

ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 18 ม.ค.65 มาให้ และสำนักงานฯได้คำนวณจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 2564กำหนด เพื่อให้สำนักงานกกต. ประจำจังหวัดและกรุงเทพ มหานคร ที่จำนวนส.ส.แต่ละจังหวัดจะพึงมีเกิน 1 คนเตรียมแบ่งเขตเลือกตั้งไว้เป็นการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 รูปแบบ และเมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับจะได้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป

สำหรับหลักเกณฑ์ในการคำนวณจำนวนส.ส.ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีและการแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 2564 มาตรา 86โดยจากจำนวนราษฎรทั้งประเทศที่สำนักทะเบียนกลางประกาศรวม66,171,439 คน และกฎหมายกำหนดให้มีส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง400 คน  กกต.คำ นวณจำนวนราษฎรเฉลี่ยต่อส.ส. 1 คน อยู่ที่ 165,428.5975 คน

โดยจังหวัดที่มีส.ส.มากสุดยังคงเป็น กรุงเทพมหานคร 33 คน ซึ่งเดิมมีอยู่ 30 ที่นั่ง ตามมา ด้วยจ.นครราชสีมา มีส.ส.16 คน ส่วนที่มีส.ส.11คน มี 3 จังหวัด คือขอนแก่น เชียงใหม่ และอุบลราชธานี

ที่มีส.ส. 10 คนมี 2 จังหวัด คือ ชลบุรี และบุรีรัมย์

ที่มีส.ส.9 คนมี 4 จังหวัด คือนครศรีธรรมราช ศรีสะเกษ สงขลาและอุดรธานี

ที่มีส.ส. 8 คนมี 5จังหวัดคือ เชียงรายนนทบุรี ร้อยเอ็ด สมุทรปราการ และสุรินทร์

ที่มีส.ส 7 คนมี 4 จังหวัด คือ ชัยภูมิปทุมธานี สกลนคร และสุราษฎร์ธานี

ที่มีส.ส. 6 คนมี 5จังหวัดคือ กาฬสินธุ์นครปฐม นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ และมหาสารคาม

ที่มีส.ส. 5 คนมี 7 จังหวัด คือ กาญจนบุรี นราธิวาส พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก ระยอง ราชบุรี และสุพรรณบุรี

ที่มีส.ส. 4 คน มี 12 จังหวัด คือกำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ตรัง ตาก นครพนม ปัตตานี ลพบุรี ลำปาง เลย สมุทรสาคร สระบุรี และสุโขทัย

ที่มีส.ส .3 คนมี 19 จังหวัด คือ กระบี่จันทบุรี ชุมพร น่าน บึงกาฬ ประจวบปราจีนบุรี พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต ยโสธร ยะลา สระแก้ว หนองคาย หนองบัวลำภู และอุตรดิตถ์

ที่มีส.ส. 2 คน มี 10 จังหวัด คือชัยนาท นครนายก พังงา มุกดาหารแม่ฮ่องสอน ลำพูน สตูล อ่างทองอำนาจเจริญ และอุทยธานี

และที่มีส.ส.1 คนมี 4 จังหวัด คือ ตราด ระนอง สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี

ทั้งนี้ หากคิดจำนวนส.ส.เป็นรายภาคโดยตามประกาศกกต.เรื่องบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัด 2560 ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและ 26 จังหวัด จะมีส.ส. 139 คน ภาคใต้ 14 จังหวัดจะมีส.ส.58 คน ภาคเหนือ 16 จังหวัดจะมีส.ส. 71 คน และภาคอีสาน 20 จังหวัดจะมีส.ส 132 คน

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 2560 มาตรา 86 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การคํานวณจํานวนส.ส.ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี และการแบ่งเขตเลือกตั้งโดยให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์ที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งหากสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันจะอยู่ครบวาระ4 ปีนับแต่เลือกตั้ง24มี.ค.62 ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศก่อนหน้านี้ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ 24มี.ค.66 ก็จะต้องใช้ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ปี2565 ที่โดยปกติแล้วสำนักทะเบียนกลางกระทรวงมหาดไทยจะประกาศในช่วงต้นเดือนม.ค.ของปีถัดมา เป็นฐานในการคิดคำนวณจำนวนส.ส.ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี

แต่การที่กกต.ใช้ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ปี 2564 เป็นฐานในการคิดคำนวณจำนวนส.ส.ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี และสั่งให้จังหวัดเตรียมเรื่องของการแบ่งเขตเลือกตั้งคู่ขนานไปกับการที่รัฐสภาจะพิจารณากฎหมายลูก 2 ฉบับที่เกี่ยวข้อง คือร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง  หากแล้วเสร็จและประกาศให้มีผลใช้บังคับ ก็สามารถจัดเลือกตั้งได้ทันที กรณีดังกล่าวจึงอาจเป็นการส่งสัญญาณว่าอาจมีการยุบสภาและมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในปี 2565 นี้ก็ได้