หลังจากที่นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เคลื่อนไหว ทวีตข้อความภายหลังทราบผลการเลือกตั้งซ่อม ในจังหวัดชุมพร และสงขลา ระบุว่า “ลุยต่อที่หลักสี่และจตุจักร! ไม่ได้หวั่นไหวกับความพ่ายแพ้
แต่กลับเข้มแข็งกว่าเดิม!! ขอปลุกใจทุกคนให้ลุยต่อ ผมเลือกที่จะยอมรับ เรียนรู้ และสนุกไปกับมัน ในขณะเดียวกัน เราจะทบทวน ปรับตัว ปรับกระบวนทัศน์เพื่อการพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นของพรรคเรา ” จนมีหลาย ๆ เสียงของกองเชียร์ก้าวไกลก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า ทำไมก้าวไกลถึงเอาชนะคนระดับกลางไม่ได้เสียที พร้อมกับกังวลว่า อาจจะแพ้เลือกตั้งซ่อมที่เขตหลักสี่อีก
ทั้งนี้ประเด็นการเลือกตั้ง กับมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่เชียร์ก้าวไกล เคยมีประเด็นที่พรรคยกเรื่องแก้ไขมาตรา 112 ออกมาพูด จนถูกกลุ่ม 3 นิ้ว ที่เป็นกลุ่มฐานเสียงคนรุ่นใหม่ ออกมาแสดงความคิดเห็นจี้พรรคก้าวไกลว่า อาจจะมีการลอยแพเกิดขึ้น เพราะถ้าพรรคก้าวไกล ดันแก้เรื่องมาตรา 112 ไม่ได้ ก็จะไม่ขอเลือกก้าวไกลอีก บวกกับเจอกระแสที่พิธาหนีโหวต จนฐานเสียงรุ่นใหม่ที่เคยเชียร์ ต่างก็ถอดใจ ว่าก้าวไกลอาจจะหักหลังพวกม็อบด้วย
ต่อมาก็ยังมีประเด็นดราม่า ที่เกิดขึ้นกับนายธนาธร ประธานคณะก้าวหน้า เรื่องการฉีดวัคซีน ที่ยังขี้แจงข้อเท็จได้ไม่ครบ 100 % ซึ่งก็มีความเชื่อมโยงไปยังภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกลด้วยเช่นกัน ช่วงนี้แม้แต่กองหนุนพรรค ก็ยังมองว่า พรรคมีคะแนนติดลบหลายด้าน ถึงเวลาต้องถอดบทเรียนนำมาปรับปรุง หากถามว่าในระยะเวลา 2 ปี ที่มีพรรคอนาคต และพรรคก้าวไกลเกิดขึ้นมา ก็ถือว่าผลงานน่าพอใจแล้ว แต่เมื่อคิดจะดึงฐานเสียงคนรุ่นใหม่ ก็เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน หากจะเดินหน้าแก้มาตรา 112 ที่ก้าวไกลรู้ว่า ไม่สามารถทำได้ แต่เมื่อบรรดาส.ส.ในพรรคต่างชูเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องหลัก ก็ทำให้พวกกลุ่ม 3 นิ้วมีหวัง ที่จะเห็นการยกเลิกมาตรา 112 แต่ก็เคยลั่นวาจาท้าส.ส.พรรคก้าวไกลไว้ด้วยว่า หากทำไม่ได้ ก็คงไม่เลือกพรรคก้าวไกลต่อไปอีก
งานนี้จึงต้องจับตาลุ้นกันว่า วันที่ 30 ม.ค. 2565 ที่จะมีการเลือกตั้งซ่อมในเขตจตุจักร- หลักสี่ เกิดขึ้นนั้น พรรคก้าวไกลจะแพ้ซ้ำรอยชุมพร-สงขลาหรือไม่ หากแพ้อีกครั้ง ก็น่าจะชัดเจนแล้วว่า คนรุ่นใหม่ที่เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรค กำลังสั่งสอนพรรคก้าวไกลให้มีบทเรียนอีกครั้ง