ปูตินคำราม!!CSTO พร้อมหนุนคาซัคฯไล่ล่าก่อการร้าย ไม่ให้ซ้ำรอยอดีตรัฐประหารยูเครน

1110

สถานการณ์ล่าสุดในคาซัคสถาน เริ่มเข้าสู่การควบคุมของรัฐ ปธน.คาซัคฯ ซัดเหตุประท้วงนองเลือดคือความพยายาม ‘รัฐประหาร’ ลั่นจะไล่ล่า ‘พวกก่อการร้าย’ นำความจริงมาเปิดเผยให้โลกรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง ขณะเดียวกันทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯฟันธงชัดว่าการประท้วงและก่อจลาจลในคาซัคฯเป็นเงื่อนไขที่มีเป้าหมายสู่การรัฐประหารโค่นรัฐบาลชุดปัจจุบัน และในวันจันทร์ที่ประชุมพันธมิตรความมั่นคงโอเอสทีโอ (CSTO) สรุปชัดและเห็นชอบสนับสนุนการดำเนินการปราบผู้ก่อการร้ายและกลุ่มสมคบต่างชาติจนกว่าจะสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ

วันที่ 11 ม.ค. 2565 สำนักข่าวทาซซ์และรัสเซียทูเดย์หรืออาร์ทีรายงานว่า ประธานาธิบดีคาซึม-โจมาร์ต โทคาเยฟ ของคาซัคสถาน ระบุในวันเดียวกัน ว่าสถานการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในคาซัคสถาน เกิดจากกลุ่มติดอาวุธที่เข้าร่วมกับกลุ่มผู้ประท้วง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบั่นทอนอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ทำลายโครงสร้างอำนาจรัฐและยึดอำนาจรัฐบาล ซึ่งเท่ากับเป็นความพยายามก่อรัฐประหาร โดยอ้างว่า กลุ่มผู้ประท้วงได้มุ่งเป้าหมายต่อเมืองอัลมาตี (Almaty) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในคาซัคสถาน เพื่อหวังยึดพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศรวมถึง กรุงนูร์-ซุลตัน ซึ่งเป็นเมืองหลวง นอกจากนี้ ผู้นำคาซัคสถานระบุว่า ทางการกำลังปฏิบัติการตามล่า “ผู้ก่อการร้าย” และไม่นานรัฐบาลจะสามารถนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประเทศออกพิสูจน์ให้ประชาคมโลกได้ทราบ

การประชุมทางวิดีโอของหัวหน้าองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วม (CSTO)ในวันจันทร์ที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมาประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กล่าวว่าการจลาจลในคาซัคสถาน เป็นภาพซ้ำของ’ยุทธวิธีไมดาน(Maidan)’ ในอดีตที่ยูเครน ถูกนำมาใช้โดยที่ประเทศกำลังเผชิญกับภัยคุกคามอย่างแท้จริง ต่อสถานะภาพความมั่นคงของตนอย่างมีการวางแผน

กรณีไมดานเกิดขึ้นที่ยูเครนเมื่อปี 2014  ในการทำรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและตะวันตก โค่นล้มประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งที่สหรัฐและตะวันตกมองว่า เป็นรัฐบาลนิยมรัสเซีย ต่อมาสถาปนารัฐบาลที่นำโดยปธน.คนปัจจุบันที่กลายเป็นบริวารสหรัฐอย่างเต็มที่ มีแนวคิดนิยมระบบนีโอนาซีอย่างเปิดเผย แต่สหรัฐและนาโตให้การสนับสนุนอย่างเนียนๆ ทั้งงบฯทางทหารและทางเศรษฐกิจการลงทุน แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกนาโตแต่อย่างใด

วลาดิมีร์ ปูตินเตือนว่าสิ่งที่เริ่มต้นจากการประท้วงอย่างสันติ ต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในคาซัคสถาน และทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วสู่การจลาจลและการก่อการร้ายไม่ใช่ครั้งแรกและจะไม่ใช่ความพยายามครั้งสุดท้ายของตะวันตกที่จะเข้าไปยุ่งเหยิงในประเทศต่างๆในภูมิภาค

ปูตินกล่าวเสริมว่า ภัยคุกคามไม่ได้เกิดจากการประท้วงราคาน้ำมันโดยธรรมชาติ แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า “กองกำลังภายในและภายนอกที่ทำลายล้าง  ได้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้”

ประธานาธิบดีรัสเซียเน้นว่ารัสเซียจะไม่ยอมให้เกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับบ้านเกิด และจะต้องดำเนินการขัดขวางการปฏิวัติสีอย่างถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้ ปูตินจึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ CSTO จะต้องพัฒนามาตรการร่วมกับการต่อต้านการก่อการร้ายและปกป้องความปลอดภัยในประเทศสมาชิกอย่างต่อเนื่อง

การประท้วงครั้งใหญ่ในคาซัคสถานเริ่มขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ เนื่องจากชาวเมือง Zhanaozen และ Aktau คัดค้านการขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวสองเท่า การประท้วงอย่างสันติในขั้นต้นได้แพร่กระจายไปยังเมืองอื่น ๆ ต่อมากลายเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงกับตำรวจ การปล้นสะดม และการก่อกวน ประธานาธิบดี Kassym-Jomart Tokayev ประกาศภาวะฉุกเฉินจนถึงวันที่ 19 มกราคม โดยเชิญกองกำลังรักษาสันติภาพ CTO มาช่วยควบคุมสถานการณ์

ปธน.ปูตินกล่าวว่า “หลังจากการร้องขอของประธานาธิบดีคาซัคสถาน กองกำลัง CSTO ก็เดินทางมาถึงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และประสบความสำเร็จในการป้องกันการบ่อนทำลายรากฐานอำนาจรัฐในคาซัคสถาน จากกลุ่มผู้ก่อการร้าย อาชญากร และผู้ก่อกวนปล้นสะดม สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด”

 

ประธานาธิบดีรัสเซียชื่นชมความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ความร่วมมือและความพร้อมในระดับสูงที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็วซึ่งแสดงให้เห็นโดยเพื่อนร่วมงานของ CSTO ดังนั้นกองกำลังขององค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วม จะยังคงอยู่เคียงข้างคาซัคสถานตราบเท่าที่จำเป็น

นอกจากนี้ เมื่อวันจันทร์ นายกรัฐมนตรีอคิลเบค จาปารอฟ (Akylbek Japarov) แห่งคีร์กีซสถาน กล่าวว่า ทางการของคีร์กีสถานหวังว่าคาซัคฯจะมีการสอบสวนอย่างเปิดเผยและยุติธรรม เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมก่อการร้ายของชาวต่างชาติ รวมถึงพลเมืองคีร์กีซสถานที่มีส่วนเข้าร่วมในการประท้วงในประเทศของเขา จาปารอฟเตือนว่า ยังคงมีความเสี่ยงต่อการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายที่เข้าร่วมในการจลาจลในคาซัคสถานระหว่างประเทศสมาชิก CSTO อื่นๆด้วย