“เปลว สีเงิน” ฟันฉับ!ลต.ซ่อม3แห่ง พปชร.จะย่อยยับ?ขณะอดีตกุนซือบิ๊กป้อม ชี้หลักสี่ ก้าวไกลปิ๋ว

1464

จากที่ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งซ่อมกันในสามพื้นที่ สามจังหวัดมีการชิงชัยกันของพรรคใหญ่อย่างน่าติดตาม ซึ่งในวันนี้มีความคิดเห็นของผู้ที่เกาะติดสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งสื่อระดับอาวุโสที่วิเคราะห์ไว้ให้ประชาชนได้พิจารณา

โดยในวันนี้ 06 มกราคม 2565 นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงการเลือกตั้งซ่อมไว้ว่า สุรชาติ และเจ๊หลีคือคู่ชิงเขต 9 หลักสี่

1.ผู้การแต้มพรรคพวกที่นับถือกันมานานอกหัก เพราะปชป. ตัดสินใจไม่ส่งผู้สมัคร ในขณะที่ผู้สมัครอื่นก็ไม่มีฐานเสียงรองรับ จึงมีแต่คุณสุรชาติลูกป๋าเหนาะ จากเพื่อไทย และเจ๊หลี ภริยาคุณสิระ จากพลังประชารัฐ เป็นคู่ชิง

2.ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลกระแสดีในตอนต้นแต่ตอนนี้ก็แผ่วมาก เพราะในที่สุดผู้ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลเมื่อเห็นว่าไปไม่ไหวก็คงจะเทเสียงให้เพื่อไทย

3.ส่วนคู่ชิงผู้ว่าฯ กทม.นั้น คุณชัชชาติ ยังคงนำโด่งกว่าช่วงตัวแล้ว ทั้งที่ยังไม่กำหนดการเลือกตั้ง และ 4.ส่วนการเลือกตั้งซ่อมที่สงขลา และชุมพรนั้นเมื่อ ปชป.หลีกทางในกรุงเทพ จึงเป็นไปได้ว่า ปชป.และพลังประชารัฐ จะได้ที่นั่งกันคนละที่!!!

ขณะในวันเดียวกันนี้ คอลัมน์ คนปลายซอย ของ เปลว สีเงิน แห่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ก็ได้เขียนบทความเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อมไว้ด้วย โดยจั่วหัวเรื่องไว้ว่า ‘พลังประชารัฐกับเลือกตั้ง’ ซึ่งเว็บไซต์ไทยโพสต์ได้นำมาเผยแพร่ไว้ มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งบางช่วงว่า

“เลือกตั้งซ่อม เดือนมกรานี้ ก็จะเลือกซ่อมกันถึง ๓ แห่ง คือที่ สงขลา เขต ๖, ชุมพร เขต ๑ อาทิตย์ที่ ๑๖ มกรา และที่ กทม. เขต ๙ “หลักสี่-จตุจักร” อาทิตย์ที่ ๓๐ มกรา

พูดถึงเลือกซ่อมที่ชุมพรกับสงขลา มันสะท้อนการเมืองระหว่างพรรคที่น่าจับตาเหมือนกัน จะว่าไป เขต ๖ สงขลา เลือกซ่อมแทน “นายถาวร เสนเนียม” ชุมพร เขต ๑ เลือกซ่อมแทน “นายชุมพล จุลใส”ทั้งคู่เป็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผมจะงดส่งคนลงไปแข่ง ด้วยเหตุผลว่า

๑.ประชาธิปัตย์ เป็นพรรครัฐบาลด้วยกัน ๒.เป็นการเลือกซ่อมคนของประชาธิปัตย์ ๓.แข่งกันเองเพื่ออะไร ได้มาก็ค่าเท่ากัน ทั้งไม่ทำให้เสียงรัฐบาลเพิ่ม ๔.ในค่าเท่ากันนั้น……การที่ พปชร.ลงไปชิง เท่ากับลงไปลดค่าความผูกพันทางใจในความเป็นพรรคร่วมให้ต่ำลง

และ ๕.”นางสาวสุภาพร กำเนิดผล” ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์  คนทั่วไปก็จะรู้ตามข่าวเท่านั้นว่าเป็นภรรยา “ส.ส.เดชอิศม์ ขาวทอง” ผู้มากบารมีในท้องถิ่นนั้น

แต่จริงๆ แล้ว “นางสาวสุภาพร” ไม่จำเป็นต้องใช้บารมี ส.ส.เดชอิศม์ เพื่อหาเสียง-หาคะแนน ด้วยซ้ำ เพราะนางสาวสุภาพรนั้น เป็นที่รู้จัก-เป็นที่รักของคนสงขลาด้วยเธอคลุกคลี-เข้าถึงชาวบ้านมานานแล้ว เรียกว่าบ้านไหนมีทุกข์-มีสุข ทุกการ์ดเชิญ ต้องถึงเธอ

สงขลา มี ส.ส.ทั้งหมด ๘ คน เป็นพลังประชารัฐ ๔ คน ประชาธิปัตย์ ๓ คน และภูมิใจไทย ๑ คน ทั้ง ๘ ส.ส.ก็สรุปรวม “พรรครัฐบาล” ถึงแข่งกัน ได้มาก็แค่ “เรือล่มในหนอง” แล้วเกิดประโยชน์อะไร ที่ต้องทำให้ “ใจกลัดหนอง” ต่อกัน ระหว่างประชาธิปัตย์กับพลังประชารัฐ ในความเป็นพรรคร่วม?

เผอิญผมไปยะลา-ปัตตานี-สงขลาบ่อย สดับตรับฟังได้ว่า ชาวบ้านผูกพันกับ “นางสาวสุภาพร” มากกว่าคนของพลังประชารัฐส่วนที่ชุมพรเขต ๑ เหมือนกัน คนที่ประชาธิปัตย์ส่งลงแทน “นายชุมพล จุลใส” คือ “นายอิสรพงษ์ มากอำไพ” นั่นก็หลานนายชุมพลหรือ ส.ส.ลูกหมี

แล้วพลังประชารัฐ แรกๆ บอกไม่ส่ง สุดท้ายก็ส่ง “นายชวลิต  อาจหาญ“ ลงแข่ง ที่ชุมพร  ผมไม่เคยลงไปสัมผัส จึงไม่ทราบความผูกพันระหว่างผู้สมัครทั้งสองกับชาวบ้าน

ทราบเพียงว่า นายอิสรพงษ์ เป็นหลานชายอดีต ส.ส.ลูกหมีเอง   เมื่อ ส.ส.ลูกหมีถูกให้พ้นสภาพ ชาวบ้านย่อมสงสารและเห็นใจ เมื่อส่งหลานลงแทน นายอิสรพงษ์จึงมีโอกาสมากกว่า ในทัศนะผม เลือกซ่อมที่ชุมพร และสงขลา ผู้สมัครประชาธิปัตย์ มีโอกาสได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.เหนือกว่าพลังประชารัฐ นั่นคือ “พลังประชารัฐ” จะแพ้เลือกซ่อมเป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยชนะมาทุกซ่อม! แม้กระทั่งเลือกซ่อม กทม.เขต ๙ “หลักสี่-จตุจักร” ก็เถอะ ถามว่าจะเอาบารมีจากใครไปดึงดูดใจให้เลือกพลังประชารัฐ?

ยิ่งมี “พรรคใหม่-หน้าใหม่” จากพรรคไทยภักดี ของคุณหมอวรงค์ที่คนให้ความสนใจเป็นพิเศษแล้ว ยังมี “หน้าเก่า-พรรคใหม่” อย่างนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ระดับเลขาฯ พรรคกล้าของนายกรณ์ จาติกวณิช ลงชิงด้วย แค่ ๒ คนนี้ ก็กลบฝังผู้สมัครรายอื่นๆ รวมทั้งผู้สมัครพลังประชารัฐมิด จะมีก็แค่อดีต ส.ส.ของเพื่อไทยที่แพ้ไปครั้งที่แล้วเท่านั้น

สรุปในมุมมองผม ทั้งซ่อม ๑๖ มกรา และซ่อม ๓๐ มกรา “พลังประชารัฐ” ยุคพรรคใหญ่แล้วผยอง พยายามปฏิเสธ “นายกฯ ประยุทธ์” จะย่อยยับ

แต่ก็อยากเห็นพลังประชารัฐกวาดได้หมดทั้ง ๓ ส.ส.นะ เพราะนั่น จะทำให้พลังประชารัฐได้มั่นใจ ว่า “ไม่ต้องมีประยุทธ์” ก็ได้……มีแค่ “ประวิตร-ธรรมนัส” ก็เป็นรัฐบาล “พลังประชารัฐ+เพื่อไทย” เป็นแกนตั้งรัฐบาลได้ ใครไม่เชื่อ ให้ไปถามทักษิณ!

“ประชาธิปัตย์” น่ะ ใจไปนานแล้ว ส่วน “ภูมิใจไทย” ยังเป็น “ฉลามน้ำลึก” ทั้งหมดนี้ อยากจะบอกพลเอกประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า……”การใช้น้ำไม่เผื่อแล้ง แกงไม่เผื่อเพื่อนบ้าน กาลข้างหน้า จะลำบาก”

(อ่านรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่ https://www.thaipost.net/columnist-people/58801/)