พี่ศรี ไม่รับคำท้า กลัวบาปกรรม! ขณะสมปอง ยังห้าวพร้อมปะทะ ลั่น โอนให้2แสน ขออย่าเบี้ยวขึ้นชก

1815

พี่ศรี ไม่รับคำท้า กลัวบาปกรรม! ขณะสมปอง ยังห้าวพร้อมปะทะ ลั่น โอนให้2แสน ขออย่าเบี้ยวขึ้นชก

จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคมทีผ่านมา พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ได้ลาสิกขาเป็นฆราวาส ซึ่งต่อมา ได้ท้าต่อยมวยไทยคาดเชือกกับนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ในวันวาเลนไทน์ที่ 14 ก.พ. 2565 เป็นการต่อยมวยกันด้วยความรักและเป็นการสะสางสิ่งที่ท้าทายกันผ่านเฟซบุ๊กจะได้จบลง

ต่อมาเมื่อวานนี้ (1 มกราคม 2565) นายศรีสุวรรณ ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ถ้าตนรับคำท้านายสมปอง หรือทิดสมปอง ก็คงจะมีประเด็นดรามากันในโลกออนไลน์จนถึงวันที่ขึ้นชก เนื่องจากนายสมปองบวชมา 30 พรรษา เรียนเปรียญธรรม 7 ประโยค และมีความรู้ทางธรรมค่อนข้างเยอะ ส่วนตนนั้นร่ำเรียนศึกษาทางธรรมมาไม่เกินพรรษา หากเทียบกันแล้วก็ห่างกันลิบลับ ซึ่งการมาท้าชกกับตนนั้นถือเป็นบุญวาสนา แต่เกรงจะเป็นบาปหนักที่ไปชกกับพระที่มีพรรษาสูง กลัวจะเป็นบาปกรรม จึงไม่อยากรับคำท้า

นายศรีสุวรรณกล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมคิดว่าการชกกันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร หากแต่อาจเป็นประโยชน์กับนายสมปอง เพราะอาจนำไปโปรโมตในเชิงธุรกิจการค้าของตัวเองได้ หากใครจะเยาะเย้ยถากถางผมที่ไม่รับคำท้าก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ผมไม่อยากเอาเกลือไปแลกพิมเสน จะตำหนิจะว่าอะไรก็น้อมรับ” และการแซวกันผ่านโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องปกติ ซึ่งบางครั้งตักเตือนกันธรรมดาเล็กน้อย เป็นสีสัน ไม่ได้เป็นข้อขัดแย้งบาดหมางอะไร เพราะเจ้าตัวนั้นได้รู้จักกับนายสมปอง เคยพบปะพูดคุยกันฉันมิตรด้วยดีมาตลอด

ล่าสุดทางด้าน นายสมปอง ได้โพสต์ข้อความว่า พี่ศรี! ผมให้พี่ 2 แสนบาทเลย ส่งหน้าบัญชีมา พรุ่งนี้โอนให้ ขอข้อแม้เดียว “อย่าเบี้ยวขึ้นเวทีต่อยมวยคาดเชือกกับผมละกัน ( เอาแบบรักษาวัฒนธรรมไทย มวยไทย มรดกไทย มรดกโลก) “ร่างกายอยากปะทะ แต่ใจมีธรรมมะตลอด”

ย้อนไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 พ.ค.2564 นายศรีสุวรรณ ได้ร้องเรียนไปถึงสำนักพุทธ ให้สอบ พระมหาสมปอง กรณีที่ พระมหาสมปอง ได้ช่วยรีวิวแนะนำสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมให้กับบริษัทเอกชนรายหนึ่ง โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า โดยช่วยโฆษณาสรรพคุณให้อย่างเลิศเลอไม่กระดากปาก ทั้ง ๆ ที่ฐานานุรูปของตนนั้นเป็นถึงสมณะหรือเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา เป็นสาวกขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้อนุญาตให้เป็นตัวแทนของพระองค์ในการเผยแพร่หลักธรรมเพื่อให้ทุกคนหลุดพ้นจากกิเสสตัณหามุ่งสู่นิพพานเป็นที่ตั้ง หาใช่ทำตนเป็นสาวกของบริษัทเอกชน ที่มุ่งแสวงหากำไรและผลประโยชน์เป็นอาจิณไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าว เป็นโลกวัชชะ ที่ถูกสังคมย่อมติเตียน และอาจต้องอธิกรณ์เข้าข่ายอวดอุตตริมนุสสธัมม์ คือ การโอ้อวดความสามารถของตัวเอง อันเป็นโทษที่ร้ายแรงหนึ่งในปาราชิก ข้อที่ 4 ซึ่งอาจต้องหลุดพ้นจากการเป็นพระภิกษุได้ นอกจากนี้ ล่าสุดพระมหาสมปองยังได้ยอมรับไปเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับสโมสรฟุตบอล ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจเอกชน เพื่อหวังสร้างภาพลักษณ์ทำการตลาดสร้างกำไรให้กับสโมสร

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า อันขัดต่อศีลบัญญัติ 227 ข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้ามภิกษุไว้โดยชัดแจ้ง อาทิ อาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ 13 คือ ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ยอมตนให้คฤหัสถ์ใช้สอย ประจบคฤหัสถ์ เป็นต้น ทั้งนี้ บุคคลใดก็ตามที่กระทำการดังกล่าวได้ อาจมิใช่การกระทำของพระภิกษุผู้มีศีลในบวรพุทธศาสนา หากแต่เป็นอลัชชี-เดียรถีย์หนีเข้ามาแอบบวชได้

ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขาของมหาเถรสมาคม จักต้องรีบดำเนินการไต่สวนและสอบสวนกรณีดังกล่าวเสียโดยเร็ว หากเป็นความผิดจะได้รีบกำจัดออกไปเสียจากพุทธศาสนา เพื่อไม่ให้ผู้ใดก็ตามที่โกนหัวห่มเหลืองแล้วแสร้งมาทำตนเป็นพระให้ผู้คนหลงกราบไหว้ มากระทำการอันไม่เหมาะสม ทำลายพระพุทธศาสนาเยี่ยงนี้ได้ ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐมนตรีอนุชา นาคาศัย ซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลในเรื่องนี้อยู่ และผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ตำรวจพระเร่งสอบสวนเอาผิดบุคคลที่ทำตัวเป็นอลัชชี-เดียรถีย์เหล่านี้เสีย เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อมิให้พระภิกษุรูปอื่นๆ ยึดถือเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี