สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับสหรัฐและนาโต ยังคงดำเนินต่อไป จนถึงวันฉลองคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง การเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่ดอนบาซ ระหว่างยูเครนและรัสเซียยังคงมีอยู่ นานาชาติต่างฝากความหวังในการเจรจาระหว่างรัสเซีย-สหรัฐและนาโตให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งทุกฝ่ายระบุว่าคงจะเกิดขึ้นได้ในเดือนมกราคม 2565 ในขณะที่รัสเซียและจีนประกาศชัดแล้วถึงการเป็นพันธมิตรครอบคลุมทุกด้าน พร้อมเผชิญหน้าสหรัฐและตะวันตกในทุกมิติ
วันที่ 24 ธ.ค.2564 สำนักข่าวสปุตนิก รายงานว่า ชาวรัสเซียร้อยละ 38 เสนอชื่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเป็นนักการเมืองหมายเลขหนึ่งของพวกเขาในปีนี้ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศเซอร์เก ลาฟรอฟ และนายกรัฐมนตรีมิคาอิล มิชูสติน ได้อันดับที่ 2 จากการสำรวจของรัสเซี่ยน พับลิก โอพีเนี่ยน เซ็นเตอร์ หรือศูนย์สำรวจความคิดเห็นภาคประชาชนรัสเซีย (Russian Public Opinion Center)
การสำรวจความคิดเห็นจัดทำขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 ผ่านการสุ่มโทรศัพท์ ซึ่งครอบคลุมพลเมือง 1,600 คนที่มีอายุมากกว่า 18 ปี โดยมีข้อผิดพลาดไม่เกิน 2.5%
ความนิยมในผู้นำรัสเซียยังคงเข้มแข็ง ในขณะที่ผู้นำอย่างปธน.ปูติน แสดงจุดยืนและบทบาทอย่างเป็นตัวของตัวเองในนโยบายต่างประเทศชัดเจน ล่าสุดประกาศจับมือแน่นแฟ้นมากขึ้นกับปธน.สี จิ้นผิงแห่งจีน เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ถึงการวางแผนจัดตั้ง “ระบบการเงินระหว่างประเทศ” หรือ“International Financial Framework” อย่างจริงจัง รับมือการคว่ำบาตรเศรษฐกิจครั้งใหญ่จากสหรัฐ
ในงานแถลงข่าวประจำปีนี้ ปธน.ปูตินทำนายเอาไว้ด้วยว่า อีกไม่นาน-ไม่ช้าสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งในปัจจุบันจะต้องสูญเสียสถานะการครอบงำตลาดการเงินและการค้าระหว่างประเทศ อย่างชนิดมิอาจฟื้นคืนกลับมาได้อีกเลย และไม่อาจอาศัยความเป็น “เผด็จการดอลลาร์” ในการข่มขู่ บีบบังคับ โลกทั้งโลก ให้ต้องยอมศิโรราบต่อความเป็นมหาอำนาจแบบ “โลกขั้วเดียว” ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นสหรัฐและประเทศตะวันตกจึงควรยอมรับความเป็นจริงนี้และปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มิเช่นนั้นสถานการณ์จะบีบให้ต้องเปลี่ยนในที่สุด
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้เห็นจากการกระชับความร่วมมือของทั้งสองประเทศ ซึ่งล้วนเป็น “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของสหรัฐฯด้วยกันทั้งคู่ จากประเทศซึ่งได้ชื่อว่าส่งออกพลังงานใหญ่ที่สุดในโลกอย่างรัสเซีย และประเทศซึ่งได้ชื่อว่าบริโภคมากที่สุดในโลกอย่างจีน เคยทำมาค้าขายระหว่างกันและกัน โดยอาศัย “เงินดอลลาร์” เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน แต่พอมาถึงปี ค.ศ. 2021 ภายใต้ความเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ประกาศเทดอลลาร์อย่างเป็นทางการนับว่าส่งผลสั่นสะเทือนสถานะของดอลลาร์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่ารัสเซียจะเทดอลลาร์จากคลังมาก่อนหน้านี้ และจีนไม่อุดหนุนพันธบัตรอเมริกาอีก ของเก่าก็เอาไปค้ำประกันการลงทุนในประเทศต่างๆทั่วโลก การประกาศใช้เงินท้องถิ่นของกันและกันค้าขายจึงเป็นการด้อยค่าเงินดอลลาร์อย่างมีนัยสำคัญ ประมาณว่าปลดแอกจากการครอบงำดอลลาร์อย่างสิ้นเชิง เปิดหน้าต้านการใช้ดอลลาร์บีบบังคับคู่แข่งตามใจสหรัฐ โดยไม่สนใจหลักการสากลใดๆ
ก่อนหน้านี้เมื่อกลางเดือนตุลาคม ปธน.ปูตินกล่าวว่าสหรัฐฯเองที่ฆ่าดอลลาร์ที่เป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลกตลอดมา ด้วยอาวุธคว่ำบาตรเศรษฐกิจและการพิมพ์เงินที่ไม่สามารถควบคุมได้ เท่ากับเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้เงินเฟ้อพุ่งกระฉูดและในที่สุดอาจคุมไม่อยู่ นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งมโหฬาร
ปูตินกล่าวว่า “ฉันว่าสหรัฐอเมริกาทำให้ความผิดพลาดใหญ่มากโดยใช้เงินดอลลาร์เป็นเครื่องมือการลงโทษ โดยใช้การชำระเงินในสกุลเงินดอลลาร์สำหรับการค้าขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศตามทำนองคลองธรรม”
ประเทศที่เผชิญกับการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ เช่น รัสเซีย“ไม่มีทางเลือกอื่น เราแค่ถูกบังคับให้เปลี่ยนไปใช้สกุลเงินอื่น” สำหรับบิตคอยน์ที่มีแนวโน้มว่าสามารถใช้ชำระ การขายน้ำมันและก๊าซนั้น ปูตินยินดีในหลักการ แต่กล่าวว่า”เร็วเกินไป”เพราะความผันผวนของคริปโต แต่ก็สนใจในการพัฒนาเงินรูเบิลสู่ดิจิทัล
ต้นปีจนถึงปัจจุบันรัสเซียยังคงรับเงินดอลลาร์ในการค้าพลังงาน แต่สำหรับตอนนี้ ปูตินได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า เขาประจักษ์ชัดในเจตนาของสหรัฐที่มีต่อรัสเซียและจีน จึงตัดสินใจใช้เงินสกุลท้องถิ่นคือ รูเบิลและหยวนในการทำมาค้าขาย เพื่อตัดวงจรอุบาทของ “เผด็จการดอลลาร์สหรัฐ” อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งพร้อมแล้วที่จะเผชิญการขับรัสเซีย ออกจากระบบ SWIFT ตามที่สหรัฐข่มขู่ถี่ในระหว่างเดือนนี้