หลังจากเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2564 ได้มีการเผยแพร่ข้อความของเบนจา อะปัญ แกนนำม็อบราษฎร ที่ถูกคุมขังในเรือนจำ ว่าได้ขอร้องต่อศาลให้ปล่อยตัวเองออกไป เพราะอยากออกไปทำประโยชน์ มาขังตนเองไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
จนสุดท้ายศาลก็ไม่ได้อนุญาตปล่อยตัว เนื่องจากไม่เชื่อว่าจะไม่กระทำความผิดซ้ำ และต่อมาทางด้านกลุ่มกองเชียร์ม็อบ 3 นิ้ว ได้คอมเม้นต์เดือด จี้ให้ศาลอนุญาตปล่อยตัวเบนจา เหมือนกับที่ให้รุ้ง ปนัสยา ออกมาสอบได้
ล่าสุดในเฟซบุ๊กของ May Poonsukcharoen หรือทนายเมย์ ได้เข้าเยี่ยมเบนจา และโพสต์ข้อความ โดยมีใจความบางช่วงบางตอน ระบุว่า “วันนี้เป็นการเยี่ยมเบนจาที่ทุลักทุเลสุด หลังจากที่วันนี้เบนจาไม่ได้ออกศาลอาญาทั้งที่มีนัดพิจารณาคดี เนื่องจากศาล(องค์คณะ)ไม่ทราบว่าเบนจาอยู่ในระหว่างคุมขัง เรารีบเร่งออกจากศาลตอนราว ๆ เที่ยงหลังเสร็จสิ้นการตรวจพยานหลักฐานคดีขบวนเสด็จ เพื่อมายื่นคำร้องขอเยี่ยมทางไลน์ ใช่ค่ะเยี่ยมออนไลน์ แต่ต้องยื่นเอกสารกระดาษที่เรือนจำ ”
เดิมทีไม่ได้แพลนว่าต้องเยี่ยมเบนจาในวันนี้เพราะเบนจามีศาลในอีกคดี แต่เมื่อไม่ได้ออกมาศาล และวันหยุดที่ผ่านมาเป็นวันหยุดยาว เราจึงคิดว่าจำเป็นต้องเยี่ยม เรายื่นเอกสารตอน 13.00น. และได้เยี่ยมตอนราว 15.00 น. ในขณะที่เราต้องขับรถไปด้วยเพื่อไปให้ทันนัดหมายฉัดวัคซีนที่โรงพยาบาลตอน 16.00 น. เป็นการเยี่ยมขณะขับรถที่มีพี่ทนายเป็นขาตั้งโทรศัพท์ และพูคคุยโดยคนขับมองถนน แทบไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา #ถ้าการเมืองดี เบนจาคงไม่ถูกขัง เราคงไม่ต้องซื้อวัคซีดฉีดเอง และไม่ต้องมาคุยกันสภาพนี้
เบนจาบอกว่างงว่าเกิดอะไรทำไมถึงไม่ได้ไปศาล และเสียใจที่ไม่ได้เจอแม่ ทั้งที่แม่ลางานและขับรถมาจากต่างจังหวัด วันนี้จะเป็นวันแรกที่เบนจาจะได้เจอแม่หลังจากถูกขัง เบนจายังไม่ได้เจอแม่เลย เพราะแม่ลงทะเบียนเยี่ยมทางไลน์ได้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่วันนั้นเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่ได้โทรไป และวันนี้เบนจาก็คงยังไม่ได้เจออีก
เบนจาพูดกับเราหลายหนถึงปัญหาของคนที่กักตัวช่วงโควิด โดยเฉพาะคนที่ไม่มีทนายความ เพราะผู้ต้องขังเหล่านั้นไม่สามารถแจ้งใครได้เลย ญาติก็ไม่สามารถเยี่ยมทางไลน์ได้ และเขียนจดหมายก็ไม่ได้ แม้ญาติจะฝากเงินก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องมีญาติซื้อของทางเรือนจำฝากได้เพียงกรณีเดียว ทำให้ผู้ต้องขังหลายคนอยู่แบบไม่มีสิ่งของจำเป็นพื้นฐานแบบนั้นตลอด 21-28 วันในการกักตัวโควิด เพราะสื่อสารกับคนภายนอกไม่ได้เบนจาแบ่งปันสิ่งของเท่าที่มีแต่ก็รู้สึกอึดอัดไปด้วยเพราะว่าไม่สามารถจะช่วยเหลือผู้ต้องขังได้หมด และวิธีดังกล่าวไม่ใช่การแก้ไขปัญหาเชิงระบบ “ทำไมเรือนจำไม่ให้เขาสื่อสารได้สักวิธี ไม่ใช่ว่าผู้ต้องขังทุกคนจะมีทนายมาเยี่ยม” คือสิ่งที่เบนจาบ่นให้ฟังเสมอ
แม้กระทั่งลงแดนแล้วก็ยังเขียนขอเงิน ขอให้ส่งสิ่งของต่าง ๆ ไม่ได้ “เดี๋ยวญาติไม่สบายใจ” เบนจาบอกว่ารู้สึกว่าอยู่ตรงนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย สิทธิของผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา ซึ่งไม่สมควรถูกขังในเรือนจำนั้น ดูจะด้อยกว่าผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้วเสียอีก ไม่สามารถเรียนหรือทำงานใด ๆได้ จนบางขณะเบนจาก็อยากจะให้คดีตัดสินให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ต้องทนนับวันเวลาแบบนี้