ปิยบุตร ขอประนีประนอม! สั่งม็อบปรับยุทธวิธี สู้แบบเดิมหน้าชนกำแพงมีแต่แพ้-ฝ่ายอนุรักษ์มีเมตตาบ้าง!

1667

ปิยบุตร ขอประนีประนอม! สั่งม็อบปรับยุทธวิธี สู้แบบเดิมหน้าชนกำแพงมีแต่แพ้-ฝ่ายอนุรักษ์มีเมตตาบ้าง!

จากกรณีที่วันนี้ (3 ธันวาคม 2564) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้ไลพ์สด ณ ที่ทำการคณะก้าวหน้า ในหัวข้อ แถลงความเห็นแย้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีล้มล้างการปกครองฯ โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล โดยมีเนื้อหาบางช่วงที่น่าสนใจว่า

ข้อเสนอประนีประนอมเพื่อหาทางออกร่วมกันกับทุก ๆ ฝ่าย ฝ่ายแรกคือกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีการนำเสนอการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ฝ่ายเยาวชนคนหนุ่มสาว ประชาชน ที่รวมตัวกันในชื่อ “ราษฎร” จำเป็นต้องปรับวิธีการรณรงค์ วิธีการเรียกร้องเสียใหม่ ตรงนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการห้าม ไม่ใช่เป็นเรื่องของการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ใช่เป็นเรื่องของการถอย แต่มันเป็นเรื่องที่เราจะต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา การชุมนุมที่พุ่งถึงขีดสุดเมื่อปีที่แล้ว เกิดขึ้นในสถานการณ์แบบหนึ่ง แต่ ณ วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป กลไกรัฐเดินหน้าบดขยี้อย่างเต็มที่ ข้อเรียกร้องที่พูดมาไม่ได้รับการตอบสนอง

หากใช้ยุทธวิธีเดิมต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ต่างอะไรกับการเอาหน้าเดินชนกำแพง หากให้การปฏิรูปเกิดขึ้นได้จริง ไม่สามารถใช้พลังของเยาวชนคนหนุ่มสาวเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของสถาบันการเมืองต่าง ๆ ของผู้ถืออำนาจรัฐ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และองคาพยพรายล้อมต่าง ๆ ด้วย

ดังนั้น จำเป็นต้องพิจารณาว่าการนำเสนอข้อเสนอต่าง ๆ ทำอย่างไร ให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายรอยัลลิสต์ยอมที่จะฟัง ยอมที่จะถกเถียงด้วยเหตุด้วยผล คิดว่าการใช้วิธี หรือท่าทีแบบเดิม ไม่มีทางให้เวทีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นได้แน่นอน ประกอบกับกลไกรัฐพร้อมบดขยี้ กระบวนการนิติสงครามเดินเครื่องเต็มที่ ตั้งข้อหาทุกอย่างเต็มไปหมด เมื่อราษฎร ไม่ได้มีอำนาจรัฐในมือ เป็นปัจเจกบุคล เป็นพลเมืองมือเปล่า จะสู้กับอำนาจรัฐที่ครบครันแบบนี้มันยากลำบากแน่นอน เห็นว่าจำเป็นต้องปรับวิธี เปลี่ยนท่าที เปลี่ยนวิธีการรณรงค์ เพื่อให้ข้อเรียกร้องดังกล่าวได้มีพัฒนาการ มีความคืบหน้า หรือนำไปสู่ผลสำเร็จได้บ้าง หากเดินแบบเดิมเชื่อว่าไม่มีทางสำเร็จแน่ ๆ

ส่วนข้อเสนอฝากพรรคการเมืองต่าง ๆ และ ส.ส. คิดว่าบทบาท ส.ส. ย่อมมีความเป็นผู้นำวาระให้กับสังคม บางช่วง ส.ส. และพรรคการเมืองอาจเป็นผู้ตาม บางช่วงสถานการณ์แหลมคม เกิดวิกฤติการณ์มากขึ้น เราจำเป็นต้องมี ส.ส. และพรรคการเมืองที่เป็นผู้นำของสังคม เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา แก้วิกฤติ ยุติความเห็นแตกต่างกันเรื่องปฏิรูปสถาบันฯ จากผ่อนหนักเป็นเบาได้ ถ้าหากสถาบันการเมือง นำข้อเสนอเหล่านี้ไปผลักดัน ไม่ต้องทั้งหมด แม้เพียงเล็กน้อย แม้เพียงบางส่วนก็ยังดี เพราะนั่นจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า สถาบันการเมืองในระบบได้เปิดพื้นที่เหล่านี้บ้าง แม้เล็กน้อยก็ยังดี

นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า ข้อเสนอสุดท้ายถึงฝ่ายอนุรักษ์นิยม จำเป็นต้องเปิดใจ เปิดพื้นที่ให้กว้างกว่านี้ เข้าใจดีว่าในความคิด ทัศนคติของพวกท่าน ไม่เหมือนกับเยาวชนคนหนุ่มสาวในรุ่นปัจจุบัน ในชั่วชีวิตของท่านไม่เคยเห็นคนรุ่น ๆ หนึ่งแสดงออกถึงขนาดนี้ อาจตกใจ อาจกังวลจนนำไปสู่ความเกลียดชัง นำไปสู่ความกลัว แต่คิดว่าเราใช้หลักเมตตาธรรมในฐานะเพื่อนร่วมชาติ คำว่าภราดรภาพที่ว่านี้แหละ เปิดพื้นที่ให้กับเขา ในเมื่อเป็นข้อเท็จจริงปรากฏขึ้นแล้วว่าเยาวชนคนหนุ่มสาวมองไม่เหมือนคนรุ่นตน หรือรุ่นก่อนตน เข้าใจดีว่า หลายท่านไม่สบายใจ ไม่พอใจต่อท่าทีในการแสดงออกของเยาวชนหลายครั้ง แต่ให้อภัยต่อกัน ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เข้าใจดีว่าถ้าท่านเคารพสถาบันฯอย่างสูงสุด แล้วใครมาแสดงต่อสถาบันฯในแบบนี้ คงไม่พอใจ คงไม่สบายใจ นี่เป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่เสนอว่าให้ใช้หลักเมตตาธรรมเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

ถ้าหากไม่ใช้เรื่องเหล่านี้ แต่เลือกใช้อำนาจกด ใช้กลไกรัฐบดขยี้ กฎหมายจัดการ คิดว่าจะไม่นำไปสู่สถานการณ์ดีขึ้น นอกจากไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้แล้ว ทำให้ความคิดเขาเตลิดไปไกลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ และนำมาซึ่งการปะทะกันระหว่างรุ่น และการปะทะนี้ไม่ใช่เรื่องของคนภาคใดปะทะกับภาคใด คนเชียร์พรรคใดปะทะคนเชียร์พรรคใด บางคนเป็นสมาชิกครอบครัว บางคนเป็นลูกศิษย์ บางคนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเขาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราไม่สามารถไล่ใครออกได้ เราต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ถ้าฝ่ายอนุรักษ์นิยมเห็นแก่อนาคตบ้านเมือง ขอให้เปิดพื้นที่แก่พวกเขามากขึ้น