รัฐไม่หวั่นโอไมครอน!!ไม่ประมาทเตรียมงบฯ 2.5 แสนล้านรับมือ ปี’65 เร่งลงทุน 3.1 ล้านล้านดันศ.ฟื้น

650

รมว.คลัง เผยนายกฯ สั่งตรวจนักท่องเที่ยวเข้ม ป้องกัน “โอไมครอน” ชี้หากเกิดการแพร่ระบาดมีเม็ดเงิน พ.ร.ก.กู้เงินฉบับเพิ่มเติม วงเงิน 2.5 แสนล้านบาทรับมือ ด้านแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี’65 มีงบลงทุนจากรัฐลงเศรษฐกิจ 3.1 ล้านล้านบาท คาดจีดีพีปีหน้าโต 4% ขณะที่รองนายกฯสุพัฒนพงษ์ฯมั่นใจรับมือ “โอไมครอน” อยู่เพราะมีพร้อมทั้งยา วัคซีน ไม่เหมือนปีก่อน ย้ำเปิดประเทศถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด 

วันที่ 3 ธ.ค. 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการศึกษาที่ชัดเจนถึงความรุนแรงของสายพันธุ์ดังกล่าว แต่เบื้องต้นคือสามารถแพร่กระจายได้เร็ว

ดังนั้นด่านแรกคือป้องกันการติดเชื้อ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับและให้แนวทางป้องกันผ่านมาตรการที่เข้มข้นขึ้น เช่น การตรวจนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยจากใช้ ATK เป็น RT-PCR

ส่วนมาตรการดูแลในด้านอื่นๆ นั้น ขณะนี้รัฐบาลก็พยายามสร้างสมดุลทั้งการป้องกันการแพร่ระบาดและมาตรการด้านเศรษฐกิจควบคู่กัน ซึ่งจากตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศก็ถือว่าดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ดี หากกรณีมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้น ก็มีงบประมาณในการดูแลบรรเทาผลกระทบ โดยยังมีเม็ดเงินจาก พ.ร.ก. กู้เงินฉบับเพิ่มเติม เหลืออีก 2.5 แสนล้าน ซึ่งสามารถโยกเงินใน พ.ร.ก.กู้เงินฉบับนี้ ใช้แก้ปัญหาได้ในกรณีมีความจำเป็นด้านอื่นๆ

“การระบาดของโอไมครอน ยังต้องรอประเมินความรุนแรงของเชื้อจากทางสาธารณสุข แต่เบื้องต้นคือเชื้อมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลไม่ได้ประมาทและได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทย

สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่นั้น ในปี 2565 ยังมีเม็ดเงินจากงบประมาณของภาครัฐอีก 3.1 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนของหน่วยงานรัฐ 6 แสนล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีก 3 แสนล้านบาท

ซึ่งงบลงทุนทั้ง 2 ส่วนนี้ได้เร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายให้ได้ตามแผน ก็จะมีเม็ดเงินที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแน่นอน ขณะเดียวกันยังมีงบจาก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ที่ยังเหลืออยู่ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งก็จะทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2564 เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 1% และในปี 2565 จะขยายตัวได้ 4% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่ม ตัวเลขการติดเชื้อน้อยลง และการส่งออกขยายตัวดีได้ต่อเนื่อง โดยนโยบายของรัฐจะมุ่งสร้างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้กลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด รวมทั้งจะมีการปรับโครงสร้างส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เปิดเผยในการเสวนาหัวข้อ “มุมมองใหม่ฝ่าเศรษฐกิจไทยปี 2022” ในงาน INTANIA DINNER TALK จัดโดยสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า ปัจจัยเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอมิครอน เชื่อว่าน่าจะรับมืออยู่จากการเตรียมความพร้อมวัคซีน และยาต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์มีพัฒนาการที่ดีมาอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้จัดการกับโรคระบาดครั้งนี้ 

โดยรัฐบาลเองที่ผ่านมาก็ได้เตรียมความพร้อมรองรับการระบาดอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยใช้บทเรียนที่ผ่านมา มาปรับใช้ป้องกันการแพร่ระบาดให้กับประชาชน พร้อมทั้งหาทางแก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆที่กระทบกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อไม่ให้ห่วงโซ่การผลิตต้องหยุดชะงักจนส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศ

รองนายกฯกล่าวว่า “ในระยะสั้นอยากให้ทุกคนมั่นใจว่าจะช่วยกันดูแลการแพร่ระบาดให้ได้เป็นอย่างดี หลังจากในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเกิดการระบาดอย่างรวดเร็วของสายพันธุ์เดลตา จนทำให้ประชาชนรู้สึกขุ่นเคืองกับเรื่องวัคซีนมาช้า แต่ยืนยันว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก เพราะรัฐบาลได้พยายามเต็มที่ โดยเฉพาะการเร่งฉีดวัคซีน ซึ่งในปีหน้าจากบทเรียนที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้จองวัคซีนเอาไว้ถึง 120 ล้านโดส ตอนนี้เข้าเป้าแล้ว 90 ล้านโดส เช่นเดียวกับจัดเตรียมยาทุกประเภท ดังนั้น เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ไม่มีวัคซีนและยา แต่ปีหน้าจะมีครบหมด ดูแลทุกคนได้”