จีนเป็นหนึ่งในประเทศคู่เจรจาที่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับอาเซียน มีกลไกในการดำเนินความสัมพันธ์ทุกระดับ และเป็นความสัมพันธ์ที่มีพลวัตสูง ซึ่งความสัมพันธ์อาเซียน-จีนเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2534 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และเป็นประเทศคู่เจรจาแรก ที่ได้รับสถานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) เมื่อปี พ.ศ. 2546 สำหรับประเทศไทย ทั้งจีนและสมาชิกอาเซียนล้วนเป็นลูกค้าคนสำคัญในกิจกรรมเศรษฐกิจของไทย ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว เป็นที่ประจักษ์ชัดแม้ในยามยากลำบาก โควิด-19 ระบาดใหญ่
เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ในฐานะองค์ประธานอาเซียน เป็นประธานร่วมในการประชุมครั้งนี้
นายกฯได้โพสต์ลงในทวิตเตอร์กล่าวว่า ประเทศจีนนั้น นอกจากจะเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลกแล้ว ยังเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน” (Comprehensive Strategic Partnership) กับอาเซียน ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เชื่อมโยงกันในทุกมิติ เช่น
ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนตั้งแต่ปี 2552 มีมูลค่าการลงทุน FDI ในอาเซียนเป็นอันดับ 4 และมีความร่วมมือกับอาเซียนผ่านข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI)ในปี 2562เป็นต้นมา
ในการประชุมพิเศษครั้งนี้ ปธน.สี จิ้นผิงได้เสนอความคิดริเริ่มหลายประการเพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างจีนและอาเซียน เพื่อยกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนรอบใหม่โดยเร็ว และเพิ่มการนำเข้าจากกลุ่ม
จีนมีตลาดภายในประเทศที่กว้างใหญ่ซึ่งจะเปิดกว้างให้กับกลุ่มประเทศอาเซียนเสมอ สีกล่าวเสริมว่าจีนพร้อมที่จะนำเข้าสินค้าที่มีคุณภาพจากประเทศในอาเซียนมากขึ้น รวมถึงการซื้อสินค้าเกษตรมูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านเหรียญจากอาเซียนในอีกห้าปีข้างหน้า
ส่วนด้านสังคมและวัฒนธรรม จีนและอาเซียนก็มีความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาชนบทและการขจัดความยากจน นอกจากนี้ในระดับประชาชน มีการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันมากกว่า 65 ล้านคน ในปี 2562 ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอาเซียนมากที่สุดอันดับ 1 ก็คือชาวจีน
ส่วนด้านความมั่นคงนั้น ที่ผ่านมาเกือบสองปี ประเทศสมาชิกอาเซียนและจีนต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดโควิด และเกิดความร่วมมือ ช่วยเหลือกันอย่างเข้มแข็งแม้ในยามวิกฤต จีนเองได้บริจาควัคซีนจำนวนมากให้แก่ชาติสมาชิกอาเซียน รวมไปถึงความร่วมมือกันจัดการกับวิกฤตที่กำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆอย่างปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ ยังมีความละเอียดอ่อนในประเด็นทะเลจีนใต้ ที่อาจกระทบบรรยากาศการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และดุลยภาพในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจที่ต้องอาศัยการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันอีกด้วย
ในเวทีการประชุม นายกฯได้นำเสนอ “สปิริตแห่งความร่วมมือ” ที่ควรเริ่มต้นจากการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค บนพื้นฐานของหลักการ 3M ได้แก่
1) ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (Mutual Trust)
2) ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual Respect) และ
3) ผลประโยชน์ที่ได้ร่วมกัน (Mutual Benefit)
ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี เกื้อกูลไปสู่การขยายความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ต่อไป สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประเทศไทย คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ที่ประเทศไทยกำลังก้าวข้ามผ่านวิกฤตสู่ยุค Next Normal ด้วยการพลิกโฉมประเทศไทย ซึ่งผมได้ประกาศประเด็นยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อน 3 ประเด็นสำคัญคือ
(1) การพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งไทยและอาเซียนจะแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับจีนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทุกๆด้าน
(2) การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมจากฐานราก ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย เพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างพลิกผัน โดยอาเซียนและจีนจะต้องร่วมกันส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล
(3) การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ทั้งอาเซียนและจีนต้องร่วมมือกันในฐานะสมาชิกทวีปเอเชียและประชาคมโลก ซึ่งไทยจะยึดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการมุ่งสู่การแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์