จากที่ครบ44ปี 6 ตุลา 19 ได้มีการจัดกิจกรรมตามต่างๆ รวมทั้งงานเสวนา 6 ตุลาฯ มีการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวมากมายจากคนในหลายแวดวง และผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในห้วงเวลาของเรื่องราวดังกล่าวนั้น
ล่าสุดวันนี้(7ต.ค.63) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงวันครบรอบ 44 ปี 6 ตุลา 19 ด้วยว่า
ประเทศไทย กับเดือนตุลาคม เหมือนมีอาถรรพ์ มักมีเหตุสำคัญๆเกิดขึ้น พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของชาวไทย สิ้นพระชนม์ในเดือนตุลาคมถึง 3 พระองค์ คือในหลวง ร.4 ร. 5 และในหลวง ร.9
รวมทั้งเหตุการณ์ 6 และ 14 ตุลาคม
เหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นอุบัติเหตุทางการเมือง ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ความตื่นตัวทางการเมือง เกิดยุทธการดอกไม้บานร้อยดอกเอกสารคอมมิวนิสต์ พิมพ์จำหน่ายอย่างโจ่งแจ้ง สังคมไทยแตกแยกเป็นสองขั้วชัดเจน ระหว่างซ้ายและขวา
ห้วงเวลานั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในกลุ่มประเทศอินโดจีน คอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะ เกิดทฤษฎีโดมิโน ที่เชื่อว่า ประเทศไทยจะพ่ายแพ้แก่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สถาบันหลักต่างๆในประเทศทั้งสถาบันครอบครัว ศาสนาและสถาบันกษัตริย์ ต้องถูกล้มล้าง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขนานใหญ่
เกิดแรงผลักและแรงต้านในสังคม เมื่อขบวนการนักศึกษา ถูกจับตามองว่าเป็นฝ่ายซ้าย เนื่องจากชื่นชอบสังคมนิยม และจีนคอมมิวนิสต์ กลุ่มนวพล กระทิงแดงและลูกเสือชาวบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มฝ่ายขวาจึงออกมาต้าน
ในเหตุการณ์ 6 ตุลา กองทัพไม่เป็นเอกภาพ การยึดอำนาจของคณะปฏิรูปนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผบ.สูงสุด และกำลังไม่กี่กองพัน
ในระหว่างที่ยังมีความวุ่นวายเกิดขึ้น
ในหลวงร. 10 ขณะที่ดำรงพระยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้เสด็จไปยังสนามหลวง และขอให้ประชาชนยุติความรุนแรงและกลับบ้านเรือน
คนที่อายุต่ำกว่า 50 ปีจะไม่เข้าใจบริบททางการเมืองที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ( อาศัยการอ่านหนังสือที่เขียนขึ้นในยุคหลัง และแต่งเติม ใส่สีตามความคิดทางการเมืองของคนเขียน) ที่มีการยั่วยุ ท้าทาย เผชิญหน้าระหว่างคนสองฝ่ายภายในชาติ
ที่ถูกเสี้ยม ถูกปั่นหัวจากคนของพรรคคอมมิวนิสต์ จากสื่อวิทยุ ทีวี
รวมทั้งจากอิทธิพลต่างชาติ ให้คนไทยฆ่ากันเอง
อย่าให้ประวัติซ้ำรอย อย่าให้เหตุร้ายเกิดขึ้นอีก ไม่มีใครได้ประโยชน์จากเหตุร้ายและความรุนแรง นอกจากคนที่ชักใยอยู่ข้างเวที
ที่มา : เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart