“พีระพันธุ์” สั่งเก็บกวาด ตั้งแต่ กองเชียร์-ผู้สนับสนุน-นักการเมือง ทั้งในและนอกประเทศ เอี่ยวคดีล้มล้างฯ

2139

ยืนยันคำมั่น! “พีระพันธุ์” ลั่นดัง ยังไม่จบ ต้องกวาดให้เรียบ นำตัวผู้กระทำผิดคดีล้มล้างฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาดำเนินคดี

สืบเนื่องจากกรณีที่ทางด้านศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยว่าการปราศรัย เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 ของกลุ่ม คณะราษฎร เข้าข่าย ล้มล้างระบอบการปกครอง ทำให้เกิดกระแสต่างๆรอบข้าง ทั้งนักการเมือง และกลุ่มต่างๆที่เคยสนับสนุน ออกมาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเนื่องจากเกรงว่าตนเองจะมีความผิดร่วมด้วย หลังจากที่ได้ทำการสนับสนุนมาตลอด

ล่าสุดทางด้านของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุกส่วนตัว โดยระบุว่า

จบแล้วแต่ยังไม่จบ!!!
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 จับใจความได้ว่าการพูดถึงสถาบันหลักของชาติที่ปวงชนชาวไทยถวายความเคารพสักการะด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 มีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จ เป็นการเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและใช้ความรุนแรงในสังคม เป็นการทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ

อีกทั้งเป็นการเซาะกร่อนเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดำรงอยู่คู่กันกับชาติไทยเป็นเนื้อเดียวกันนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน และจะต้องดำรงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคตเพื่อธำรงความเป็นชาติไทย ต้องสิ้นสลาย ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียน หรือการกระทำต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

เป็นคำวินิจฉัยที่บอกว่าสิ่งที่กลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องพยายามตะโกนอธิบายว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นการกระทำผิดกฎหมายและผิดรัฐธรรมนูญ ที่มิใช่เป็นเพียงแค่อาชญากรรมตามกฎหมายอาญาธรรมดาๆ หากแต่เป็นการบ่อนทำลายชาติและสถาบันหลักของชาติที่จะต้องดำรงอยู่คู่กันกับชาติเพื่อธำรงความเป็นชาติไทยตลอดไปให้ต้องสิ้นสลาย อันเป็นความผิดอาญาที่ร้ายแรงยิ่ง
เป็นการตอกย้ำว่าเมื่อไหร่ที่คนพวกนี้ต้องติดคุก พวกเขาคือ “นักโทษผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรง” ไม่ใช่ “นักโทษทางความคิด”

มันจบแล้ว…
จากนี้ไปการชุมนุมในลักษณะนี้รวมทั้งท่อน้ำเลี้ยงและอีแอบ ผู้เป็น “ชนกลุ่มน้อย” คือผู้ทำลายล้างรัฐธรรมนูญ คือผู้ทำลายล้างสถาบัน คือผู้ทำลายล้างชาติ คือผู้กระทำผิดอาญาร้ายแรง ไม่ใช่ผู้ใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไป ข้อคลางแคลงสงสัยของผู้รักษากฎหมายจนทำให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่นแบบที่ผ่านมาก็จบลงด้วย

แต่เรื่องยังไม่จบ!!!
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ถูกร้องมีลักษณะเป็นขบวนการที่มีเจตนาเดียวกัน แม้เหตุการณ์ตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้อง รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายกระทำการเช่นว่านั้นต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งว่า “…ให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย…”

หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้จนบ้านเมืองสิ้นสลายก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดกันถึงปัญหาอื่นของชาติและของประชาชนอีกต่อไป

จึงเป็นหน้าที่ของผู้รักษากฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดทุกกลุ่มทุกระดับทั้งในประเทศและต่างประเทศมาลงโทษให้ได้ ไล่เรียงย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นวันกระทำความผิดเรื่อยมาจนปัจจุบันและอนาคต ซึ่งรวมทั้งผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนในทุกรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็นผู้เอื้อเฟื้อสถานที่ สิ่งของ ทุนทรัพย์ รวมทั้งกองเชียร์และอีแอบ ที่พูดจา ส่งเสียงเชียร์ หรือกระทำด้วยวิธีการใดให้ผู้กระทำความผิดมีจิตใจที่ “ฮึกเหิม” มากยิ่งขึ้น ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับ มิฉะนั้น ผู้รักษากฎหมายจะกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียเอง

สำหรับพวกเรา “คนไทย” ทั้งปวง เรามาร่วมกันปกป้องสถาบันหลักของชาติเพื่อธำรงความเป็นชาติของเราดีกว่าครับ
#ปกป้องสถาบันหลักของชาติ