Truthforyou

ถอนหงอก “ส.ศิวรักษ์” ถ่อสังขารพยานคดีล้มการปค.แต่ศาลไม่สน เคยได้อภัยโทษ ม.112 แต่กลับเนรคุณ?

ถอนหงอก “ส.ศิวรักษ์” ถ่อสังขารพยานคดีล้มการปค.แต่ศาลไม่สน เคยได้อภัยโทษ ม.112 แต่กลับเนรคุณ?

จากกรณีที่เมื่อวานนี้ ได้มีการอ่านคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคำร้องนายณัฐพร โตประยูร ขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของนายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ชุมนุมปราศรัยเพื่อเสนอข้อเรียกร้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ จากการชุมนุมปราศรัยในวันที่ 10 ส.ค.63 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

โดยในการอ่านคำวินิฉัยในครั้งนี้ ทางทนายความของผู้ถูกร้องได้นำพยาน คือ นายส.ศิวลักษณ์ มาด้วย จึงขอให้ศาลช่วยบันทึกไว้ด้วย และขอเรียนด้วยความเคารพในฐานะเป็นผู้รับมอบอำนาจจึงต้องปฎิบัติตามคำสั่งของนายอานนท์

จากนั้นนายนรเศรษฐ์ ทนายของนายภานุพงศ์ ก็ได้แจ้งต่อศาลในลักษณะเดียวกันว่าไม่ประสงค์จะอยู่รับฟังคำวินิจฉัย จึงขอออกจากห้องพิจารณาไปขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงว่า ศาลพิจารณาคดีโดยใช้ระบบไต่สวน แสวงหาข้อเท็จจริงได้จากหลายฝ่าย เมื่อได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนที่สามารถจะวินิจฉัยได้จึงสั่งงดการไต่สวน ซึ่งเป็นคำสั่งตามที่กฎหมายบัญญัติ ส่วนการไม่ประสงค์ฟังคำวินิจฉัยก็เป็นสิทธิ

นางสาวปนัสสยา กล่าวกับศาลว่า วันนี้เรามาฟังคำวินิจฉัยโดยทนายของพวกเราเคยมีการยื่นขอศาลให้ดำเนินการไต่สวน หนูไม่ใช่นักเรียกกฎหมายก็อาจจะรู้น้อย แต่ก็เข้าใจว่าการได้มาซึ่งความยุติธรรม อย่างน้อยควรจะต้องรับฟังทุกอย่างเท่าที่จะรับฟังได้ ซึ่งวันนี้ อาจารย์ ส. ศิวลักษณ์ ได้มารออยู่ พร้อมที่เข้าไต่สวนหากศาลอนุญาต แต่ถ้าศาลไม่อนุญาตและให้รับฟังคำวินิจฉัย โดยที่หนูไม่มีโอกาสแสวงหาความจริงเพิ่มเติมให้รัฐธรรมนูญก็คงต้องขอออกจากห้องพิจารณาเช่นกัน

ศาลได้ชี้แจงว่า เป็นข้ออ้างของฝ่ายผู้ถูกร้องว่าไม่ไต่สวน แต่ความจริงกระบวนการพิจารณาของศาลไต่สวน เราแสวงหาข้อเท็จจริงทุกอย่าง เอกสารที่ได้มาได้ส่งให้ผู้ถูกร้องเรียกร้อยหมดแล้ว ผู้ถูกร้องมีหน้าที่โต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งศาลได้รับหมดแล้ว ถือว่าได้ให้ความเป็นธรรม และยุติธรรมกับผู้ถูกร้องทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่การพิจารณาในระบบกล่าวหา แต่เป็นระบบไต่สวนซึ่งศาลมีอำนาจไต่สวน แต่ในการไต่สวนศาลได้ให้ผู้ถูกร้องทราบ พยานหลักฐานทุกอย่างและให้โอกาสโต้แย้ง ดังนั้นกระบวนการพิจารณาถูกต้อง “สิ่งที่คุณอ้าง ก็เป็นข้ออ้างของคุณ” ยืนยันว่าเรื่องนี้ศาลใช้เวลาพิจารณาเป็นปี เรารอบคอบในการหาพยานหลักฐาน ไม่ใช่รับคำร้องมาแล้วตัดสิน ใช้เวลาปีเศษด้วยซ้ำไป

ล่าสุดทางด้าน นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยาโพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่ส.ศิวรักษ์ ได้มาเป็นพยานครั้งนี้ว่า ส.ถ่อสังขารไปศาลฯ เมื่อวานผมนึกขัน เฒ่า ส.จะไปเป็นพยานให้พวกสามกีบล้มล้างการปกครองขึ้นไต่สวนในศาลรัฐธรรมนูญหน้าเลยแหกไปเพราะศาลฯไม่สนใจ

คราวก่อนจะโดนอัยการศาลทหารเตรียมสั่งฟ้องให้เตรียมเงินประกันตัว 5 แสนกับวิ่งพล่านโทร.มาหาผม แสดงความจงรักภักดีเกินตัวให้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ “ผมอายุ 85 ปี แก่แล้วครับเทพมนตรี”
ผ่านมาไวจะอายุ 90 ปีแล้ว แต่ ส.พลิกผันไปเข้าข้างขบวนการเด็กสามกีบ เขียนเชียร์ ถ่อสังขารไปปราศรัย ไปเดินทะลุฟ้า นี่ยังจะมาศาลรัฐธรรมนูญเป็นพยานให้คนพวกนี้อีก ตอนนั้นเสือกไม่อยากไปศาลทหารศาลอาญา..
บั่นปลายชีวิตเหลือไม่ถึงขวบปี ชาวบ้านเขาสาปแช่งทุกครั้งที่ออกไปหาเรื่อง ทำจิตใจให้สบายหาหนทางดับทุกข์เถอะครับ
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 นายเทพมนตรี ได้โพสต์ข้อความถึงส.ศิวรักษ์ ด้วยว่า
ส.ศิวรักษ์…. เนรคุณ อยากให้ทุกคนรู้ความจริง ผมเป็นคนร่าง (ฎีกา) จดหมายขอพระราชทานอภัยโทษ มาตรา 112 ให้ส.ศิวรักษ์เอง ที่โดนคดีสมเด็จพระนเรศเพราะปากดีที่ธรรมศาสตร์ ตอนแรกแกเขียนมาอ่านไม่รู้เรื่องใช้ราชาศัพท์ผิด เห็นคุยนักคุยหนาว่ารู้ขนบธรรมเนียม มันก็ขี้กรากตัวหนึ่ง ไม่รู้เรื่องอันใด
ผมเป็นคนแนะนำทุกขั้นตอนเสียด้วยซ้ำว่าจะปฏิบัติอย่างไร มหาดเล็กในพระที่เป็นพยานได้ จนให้มันหาโอกาสถวายฎีกาความทุกข์ส่วนตัวของมัน เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ ที่พระที่นั่งอัมพร พระองค์ท่านมีเมตตามาก ถึงโปรดเกล้าฯให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ มีคนไทยสักกี่คนจะมีวาสนา ทรงให้พนักงานชาวที่นำเก้าอี้มาให้นั่งเกือบเสมอเพราะเห็นว่าแก่ชรามากเดินเหินต้องใช้ไม้เท้า ทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ความเป็นกันเอง และทรงให้งานสำคัญ 3 ชิ้นเพื่อถวายคำแนะนำพระองค์ท่าน มันโคตรโชคดีเลยว่าไหม?
ผมจึงสงสัยว่าทำไมมันถึงเนรคุณได้ถึงเพียงนี้ ใครจะนับถือมันก็นับถือไป แต่ผมไม่เอามันไว้ คนอกตัญญู โทรมาหาผม แทบจะกราบเท้า อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ผมเห็นแก่ ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์จึงช่วย แต่พอได้สมใจตนเองก็ไปอวดอ้างตน และไปเข้าข้างพวกที่ใส่ร้ายป้ายสี พวกที่จะล้มพระองค์ท่าน เป็นใครที่ได้เห็นได้รับรู้การกระทำแบบนี้จะเสียใจไหม ผมขอถามหน่อยเถอะ มีความเป็นคนมากน้อยเพียงใดกัน มาวันนี้มันชัดแล้วไม่ต้องมาขอพระราชทานอภัยโทษอะไรอีก คนเยี่ยงนี้ตายไปก็มีแต่คนสาบแช่ง นรกขุมไหนเดาเอาเองครับ ขี้เกียจพูดแล้ว ผมเองรู้สึกผิดจริงๆ ที่ช่วยมันครับ
Exit mobile version