Truthforyou

หนุ่มวัย 31 ปี ก่อเหตุทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ 3 จุด ในจ.อุบลฯ อ้าง หูแว่ว ทำไปโดยไม่รู้ตัว?

หนุ่มวัย 31 ปี ก่อเหตุทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ 3 จุด ในจ.อุบลฯ อ้าง หูแว่ว ทำไปโดยไม่รู้ตัว!

จากกรณีที่เมื่อวาน (7 พฤศจิกายน 2564) ทวิตเตอร์ TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่มีชายวัย 31 ปี ได้ก่อเหตุทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 10 ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยระบุข้อความว่า

แต้ม วัย31ปี ผู้ต้องเข้ารับการรักษาทางจิตเวชหลังปลดประจำการทหารเกณฑ์ รับสารภาพข้อหา #ทำให้เสียทรัพย์ หลังทำลายรูป ร.10 ที่ อ.ตระการพืชผล อุบลฯ รวม3จุด ระบุว่าขณะก่อเหตุมีอาหารหูแว่วได้ยินเสียงสั่งการจากเบื้องบน ทนายเตรียมยื่นประกันที่ศาลแขวงอุบลฯ พรุ่งนี้

โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2564 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สภ.ตระการพืชผล เวลาประมาณ 12.00 น. พบว่ามีชายอายุประมาณ 30 ปี สวมกางเกงขาสั้นสีดํา เสื้อวอร์มแขนยาวสีน้ำเงิน ด้านหลังมีตัวอักษรปักคําว่า ราชนาวี ขับขี่รถจักรยานยนต์สีเทา-ดํา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มาจอดที่บริเวณป้ายพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นทรัพย์สินของเทศบาลตำบลตระการพืชผล ที่บริเวณเกาะกลางถนนหน้าโรงเรียนมัธยมตระการพืชผล และทุบทําลายป้ายพระบรมฉายาลักษณ์

ซึ่งทาง ออฟ นักกิจกรรมคณะอุบลปลดแอกซึ่งเดินทางไปที่ สภ.ตระการพืชผล เพื่อติดตามสถานการณ์ ได้พบว่า แต้ม (นามสมมติ) ชายวัย 31 ปี ถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องสอบสวน ขณะที่แม่ของแต้ม เดินทางมาจาก ต.สะพือ พร้อมเสื้อผ้า อาหาร และยา ซึ่งเตรียมมาให้แต้ม ถึง สภ.ตระการฯ เช่นกัน  ด้วยอาการที่ค่อนข้างหวาดกลัว ทางตำรวจอนุญาตให้แม่และออฟได้เข้าเยี่ยมแต้มในห้องสอบสวน ระหว่างการพูดคุยโต้ตอบกับแม่ซึ่งร้องไห้และตำรวจ ออฟสังเกตว่า แต้มมีลักษณะคิดว่าตนเองเป็นคนอื่น

ทั้งนี้ ตำรวจได้ทำบันทึกการจับกุมเสร็จและให้แต้มเซ็นก่อนหน้าแล้ว โดยไม่มีทนายความและผู้ไว้วางใจของแต้มเข้าร่วม เนื้อหาในบันทึกจับกุมระบุว่า ชุดจับกุมประกอบด้วย ตำรวจสืบสวนจากตำรวจภูธรจังหวัดอุบลฯ, สภ.ตระการพืชผลและสันติบาลจังหวัดอุบลฯ

สำหรับบันทึกจับกุมยังระบุว่า จากการสอบถามของตำรวจ แต้มรับว่า ตนได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของตนเอง ออกจากบ้านพักเข้ามาที่อําเภอตระการพืชผล และก่อเหตุทําลายรูปรัชกาลที่ 10 รวม 3 จุด ได้แก่ บริเวณเกาะกลางถนนด้านหน้าโรงเรียนมัธยมตระการพืชผล, บริเวณเกาะกลางถนนหน้าปั้มน้ำมันคาลเท็กซ์ และหน้าสถานีขนส่งผู้โดยสารอําเภอตระการพืชผล เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา “ทําให้เสียทรัพย์” โดยแต้มให้การรับสารภาพ

กระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น. แต้มถูกนำตัวไปขังในห้องขัง พนักงานสอบสวนร้อยเวรแจ้งว่า จะสอบปากคำในเช้าวันรุ่งขึ้น แม่จึงเดินทางกลับ โดย วัฒนา จันทศิลป์ ทนายความเครือข่ายของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้โทรศัพท์แจ้งพนักงานสอบสวนว่า จะเข้าร่วมการสอบปากคำด้วย

จากการพูดคุยสอบถามเบื้องต้น แม่ให้ข้อมูลว่า แต้มมีอาการทางจิตหลังปลดประจำการทหารเกณฑ์จากกองทัพเรือ ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งให้การรักษาผู้ป่วยจิตเวช โดยหมอให้ทานยาตลอด และมีบัตรผู้พิการ (ทางจิต) ก่อนเกิดเหตุ แต้มได้บอกกับพ่อแม่ว่าจะไปสมัครงาน จนเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ตำรวจได้ให้คนในหมู่บ้านมาบอกว่าลูกชายถูกจับ ด้านแม่เองก็ป่วย มีโรคประจำตัวหลายโรค

อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ทำให้เสียทรัพย์ แต้มให้การรับสารภาพและให้การเพิ่มเติมด้วย จากนั้น พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำแม่และผู้ใหญ่บ้านในฐานะพยาน เมื่อแล้วเสร็จได้แจ้งว่า จะส่งตัวแต้มไปขอศาลแขวงอุบลฯ ฝากขังในวันจันทร์ (8 พ.ย. 2564) เวลาประมาณ 09.00 น.

ทางด้าน ทนายความผู้ต้องหาเปิดเผยในภายหลังถึงคำให้การเพิ่มเติมของแต้มว่า โดยสรุปเขาให้การว่า ขณะก่อเหตุเขามีอาการหูแว่ว ได้ยินเสียงสั่งการมาจากเบื้องบนให้เขาทำลายป้ายที่เห็น เขาจึงทำไปโดยไม่รู้สึกตัวว่าเป็นป้ายอะไร แต่เมื่อขี่รถกลับบ้านได้ไตร่ตรองทบทวนจึงรู้ตัว และเข้าไปเล่าให้แม่ฟังด้วยความเสียใจ ก่อนออกจากบ้านมาอีกครั้งเพื่อไปเอาบัตรประชาชนที่หาย กระทั่งถูกตำรวจจับ

แต้มยังให้การเรื่องอาการป่วยของเขาว่า เป็นหลังจากที่เขาไปเป็นทหารเกณฑ์ เมื่อปลดประจำการแล้ว เขาต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์ ปัจจุบันยังต้องไปพบหมอและกินยาตลอด โดยมีบัตรผู้พิการประเภท 4 เขารู้ตัวเองว่า ถ้าไม่กินยาจะมีอาการก้าวร้าว บางครั้งเข้าใจว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 16 แต่เนื่องจากกินยาแล้วง่วง ทำให้เขาพยายามไม่กินยา

ทนายความกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้นำส่งบัตรผู้พิการ และยาที่เขาทานเป็นประจำเป็นหลักฐานเข้าไปในสำนวนการสอบสวนด้วย และในส่วนของแม่กับผู้ใหญ่บ้านก็ให้ปากคำเรื่องอาการป่วยและการรักษาของแต้ม โดยถ้าทานยาจะเป็นคนสุภาพ พูดจาโต้ตอบดี ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ทำงานในไร่ได้ ถ้าไม่ได้ทานยา จะมีอาการหงุดหงิด ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง

ทนายยังกล่าวด้วยว่า ทราบว่า เมื่อคืน พล.ต.ต.สถาพร เอมโอษฐ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลฯ เดินทางมาสอบปากคำแต้มด้วยตัวเอง ก็คงเห็นแล้วว่า คดีไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร พรุ่งนี้ ทนายก็เตรียมยื่นประกันตัวในชั้นฝากขังที่ศาลแขวงอุบลฯ เนื่องจากข้อหา ทำให้เสียทรัพย์ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลแขวง คาดว่า ศาลก็คงเมตตาให้ประกันตัว ในส่วนของเงินประกันได้ขอความช่วยเหลือไปที่กองทุนราษฎรประสงค์ เนื่องจากครอบครัวไม่มีหลักทรัพย์ในการยื่นประกันตัว

Exit mobile version