กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงในไต้หวันได้เกิดขึ้นแล้ว นับตั้งแต่ปธน.ไช่ อิงเหวินได้รับเลือกเป็นผู้นำของไต้หวัน 2 สมัย ความขัดแย้งระหว่างไต้หวันกับจีนก็ปะทุขึ้น และเด่นชัดมากขึ้นในสมัยของ ปธน.โจ ไบเดนแห่งสหรัฐอเมริกา ข่าวสารของตะวันตกจะชี้ว่าจีนพยายามเปลี่ยนสถานะไต้หวันและปธน.ไช่ อิวเหวินแห่งไต้หวันเป็นผู้กล้าที่จะปลดปล่อยไต้หวันจากการครอบงำของจีน แต่เวลาผ่านไปชัดเจนว่า ปธน.ไช่ อิงเหวินเลือกเป็นสมุนบริวารของสหรัฐเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ และความจริงที่ว่า ประชาชนไต้หวันจะต้องจ่ายอะไรบ้างต่อการแยกตัวเป็นอิสระจากจีน สื่อยกเว้นไม่กล่าวถึง
สถานการณ์ช่องแคบไต้หวันทวีความตึงเครียดสูงขึ้นตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อสหรัฐออกหน้าปกป้องไต้หวัน และชวนพันธมิตรตะวันตกประเทศอื่นๆมารุมล้อมจีนโดยอาศัยเป็นจุดยั่วยุความอดทนของจีนในทุกเวที ด้วยสงครามข่าวสารและการทูต หลายฝ่ายล้วนกังวลว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-จีน ในกรณีไต้หวันจะกลายเป็นชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ เมื่อไต้หวันจุดไฟขัดแย้งด้วยการซื้ออาวุธจากสหรัฐ และยินยอมให้สหรัฐเข้ามาใช้แผ่นดินฝึกซ้อมทหารไต้หวันอย่างเปิดเผย
ท่ามกลางความตึงเครียดขั้นสูง ปรากฎการณ์ใหม่ที่เป็นสัญญาณสำคัญ เกี่ยวกับประเด็น “ไต้หวัน”เมื่อมีเหตุการณ์ “ชาวไต้หวันในไทเปแสดงออกและเรียกร้องให้ไต้หวันรวมตัวและกลับไปยัง PRC (จีนแผ่นดินใหญ่) มาตุภูมิ
คอลัมนิสต์ “สิริอัญญา” ได้ถ่ายทอดไว้น่าสนใจดังต่อไปนี้
“Taiwan residents in Taipei demonstrated and demanded Taiwan reunite with, and return to PRC, the Motherland”
ชาวไต้หวันเรียกร้องรวมชาติ
เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นแล้วในไต้หวัน ซึ่งได้สร้างความตะลึงพรึงเพริดทั้งในไต้หวัน ในแผ่นดินใหญ่ของจีน และในหลายภูมิภาคของโลก นั่นคือการลุกขึ้นของชาวไต้หวันออกมาเดินขบวนตามถนนหนทางเรียกร้องให้รวมชาติไต้หวันเข้ากับมาตุภูมิจีน
เป็นการเดินขบวนของคนจำนวนมากที่เรียกร้องให้มีการรวมชาติกับแผ่นดินใหญ่เป็นครั้งแรก และเป็นการเดินขบวนของคนหลายพวก ทั้งสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง ชาวไต้หวันดั้งเดิม และคนรุ่นใหม่รุ่นเก่าที่ผสมผสานกัน
มีการจัดขบวนประกอบด้วยธงทิวที่ไม่แตกต่างกันกับการเดินขบวนในสถานการณ์ “อาหรับสปริง” ที่ประเทศนักล่าอาณานิคมได้ใช้เป็นรูปแบบในการโค่นล้มรัฐบาลประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศในตะวันออกกลาง ในพื้นที่ยูเรเซีย และลาตินอเมริกา เพื่อเปลี่ยนรัฐบาลของประชาชนให้เป็นรัฐบาลหุ่นที่รับใช้นักล่าอาณานิคม
การเคลื่อนไหวอาหรับสปริงเป็นการเคลื่อนไหวที่มีการจัดตั้งโดยนักล่าอาณานิคมเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งมา แต่ไม่ยอมประพฤติตนเป็นบริษัทบริวารของนักล่าอาณานิคม จึงมีการใช้รูปแบบอาหรับสปริงโค่นล้มรัฐบาลเหล่านั้น แล้วจัดตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นปกครองและเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของนักล่าอาณานิคม
แต่การเคลื่อนไหวแบบอาหรับสปริงในไต้หวันครั้งนี้ไม่ใช่การเคลื่อนไหวโดยมีการจัดตั้งของใคร แต่เป็นเรื่องที่ชาวไต้หวันเองพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนเรียกร้องให้รวมชาติกับมาตุภูมิคือประเทศจีนในลักษณะต่างคนต่างทำ จึงทำให้เกิดการตกตะลึงกันทั้งโลก
เพราะมีการคาดหมายว่าเมื่อมีการลุกฮือขึ้นเดินขบวนครั้งนี้แล้วก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และคงจะมีการขยายตัวของผู้คนวงการต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้รวมชาติกับจีนมากขึ้น
พรรคก๊กมินตั๋งหลังจากปราชัยให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในสงครามปลดแอกแล้วได้เคลื่อนย้ายไปตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เกาะไต้หวัน และพรรคก๊กมินตั๋งก็ได้ปกครองไต้หวันมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่รุ่นของจอมพลเจียงไคเช็คมาจนถึงชั้นหลาน จึงผลัดเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่น
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนั้นไม่เคยปรากฏการเรียกร้องของประชาชนให้รวมชาติกับแผ่นดินใหญ่ และถึงแม้จะมีความขัดแย้งกันบ้างก็ยังคงรักษาสันติภาพระหว่างสองฝั่งฟากช่องแคบของไต้หวันไว้เป็นอันดี นั่นก็คือแม้มีความต่างทางการเมือง แต่ทั้งสองฝั่งฟากก็มีความสำนึกในความเป็นชาติเดียวกัน เป็นญาติพี่น้องแห่งมาตุภูมิเดียวกัน
ครั้นอำนาจในไต้หวันเปลี่ยนมือไปจากพรรคก๊กมินตั๋งก็ค่อย ๆ กลายพันธุ์หันไปฝักใฝ่ในคำยุยงของนักล่าอาณานิคมที่ยุยงให้แยกไต้หวันเป็นรัฐอิสระ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีแล้วว่าเป็นเรื่องที่ประเทศจีนไม่มีทางที่จะยอมรับได้โดยเด็ดขาด และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติไว้
อำนาจรัฐไต้หวันหลังพรรคก๊กมินตั๋งได้เดินไกลออกไปจากความเป็นจีนมากขึ้น และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะแยกประเทศ โดยหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองช่วยเหลือจากนักล่าอาณานิคม โดยขาดความสำนึกว่าแท้จริงแล้วก็จะกลายเป็นประเทศราชหรือเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคม หรือไม่ก็จะถูกยึดซ้ำยึดซ้อนเข้าไปเป็นดินแดนของประเทศอื่น ดังเช่นการยกกำลังเข้ายึดเกาะฮาวายแล้วผนวกเข้าไปเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสหรัฐ
เพราะเหตุความมักใหญ่ใฝ่สูงเช่นนี้อำนาจรัฐในไต้หวันจึงทำทุกอย่าง โดยเฉพาะการเสริมสร้างแสนยานุภาพเพื่อจะต่อกรกับประเทศจีน ซึ่งเป็นธรรมดาของการสั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เมื่อเริ่มต้นขึ้นแล้วก็จะต้องเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
เหมือนหนึ่งการก่อไฟขึ้นกองหนึ่งแล้วก็ต้องเติมฟืนเพื่อให้กองไฟนั้นลุกโชติช่วงต่อไป ยิ่งเติมฟืนมากเท่าใดกองไฟก็จะใหญ่มากขึ้นเท่านั้น กองไฟใหญ่ขึ้นเท่าใดก็ต้องการฟืนเพิ่มเติมมากขึ้นเท่านั้น มิฉะนั้นกองไฟก็ต้องมอดดับไป
ฉันใดก็ฉันนั้น อำนาจรัฐไต้หวันได้สั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ประชาชาติไต้หวันทำมาหากินมีรายได้เป็นของรัฐเท่าใด อำนาจรัฐไต้หวันก็นำไปจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จนไม่เป็นอันใช้ในการพัฒนาประเทศ
ชาวไต้หวันซึ่งควรที่จะมีฐานะดีเหนือกว่าชาวนิวยอร์ค ชาวปารีส หรือชาวลอนดอน แต่กลับลำบากยากจนลงอย่างน่าพิศวง และล่าสุดความเป็นอยู่ก็ยังสู้ชาวจีนในเซินเจิ้นหรือเซียะเหมินไม่ได้
ชาวไต้หวันซึ่งอยู่ใกล้กับเซียะเหมินมากที่สุด ที่อยู่ใกล้ส่องกล้องก็มองเห็นสภาพ ที่อยู่ไกลสังเกตจากแสงไฟที่สว่างจ้าเหนือฟากฟ้าเซียะเหมินก็รู้ว่าความเจริญรุ่งเรืองอยู่ดีกินดีเพิ่มขึ้นทุกวัน ชาวไต้หวันที่เดินทางเข้าไปเยือนประเทศจีนก็เห็นกับตาตัวว่าแผ่นดินใหญ่แห่งมาตุภูมิภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำพาประเทศยืนผงาดขึ้นอยู่ในแนวหน้าของโลก ไม่ต้องก้มหัวให้ชาติใดโขกสับเหมือนอดีตอีกต่อไป จึงมีความภาคภูมิใจอยู่ในใจลึก ๆ
ดังนั้นเมื่ออำนาจรัฐไต้หวันนำโดยไช่อิงเหวินยิ่งฝักใฝ่แยกประเทศมากขึ้นเท่าใด ยิ่งนำพาไต้หวันไปซุกใต้อุ้งตีนนักล่าอาณานิคมมากเท่าใดก็สร้างบรรยากาศความขัดแย้งกับแผ่นดินใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ส่งผลสะเทือนสะท้านไปทั่วทั้งเกาะไต้หวัน
ชาวไต้หวันที่ยังมีสายเลือดจีน ยังรำลึกถึงบรรพชนที่เป็นคนจีน ยังมีความภาคภูมิใจในความเป็นจีนซึ่งมีอยู่จำนวนมากก็ค่อย ๆ ตื่นตัวขึ้นและเห็นอันตรายของการนำพาไต้หวันไปซุกใต้อุ้งตีนนักล่าอาณานิคม ดังนั้นความเรียกร้องต้องการที่จะรวมชาติกับจีนจึงก่อตัวขึ้นและขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ยิ่งสหรัฐดึงเอาญี่ปุ่นเข้ามาเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องไต้หวัน แทนที่จะเป็นผลดีต่อสหรัฐกลับส่งผลด้านกลับอย่างลึกซึ้ง เพราะญี่ปุ่นนั้นเคยรุกรานยึดครองไต้หวันมานานปี เคยก่ออาชญากรรมโหดเหี้ยมอำมหิต สังหารบรรพชนชาวไต้หวันจำนวนมาก ไม่ละเว้นแม้กระทั่งชาวท้องถิ่นดั้งเดิม จึงเป็นรอยแค้นฝังจิตฝังใจชาวไต้หวันไม่ต่างกับชาวจีนทั่วโลกในสถานการณ์สังหารโหดที่นานกิง
สหรัฐยิ่งดึงญี่ปุ่นเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันมากเท่าใด ความแค้นใจของชาวไต้หวันก็ยิ่งกระพือโหม สมทบกับความไม่พอใจในพฤติกรรมทรยศชาติของไช่อิงเหวิน จึงก่อให้เกิดความเรียกร้องต้องการที่จะรวมชาติกับแผ่นดินใหญ่ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะหลังประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่ 18 ที่สถาปนาอำนาจการนำของสีจิ้นผิงขึ้นแล้ว การนำของประเทศจีนได้โดดเด่นผงาดบนหนทางสันติ หนทางการพัฒนา ที่สร้างความแข็งแกร่งครั้งประวัติศาสตร์ให้แก่ประเทศจีน สามารถเอาชนะสงครามกับความยากจนซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีนหลายพันปีได้สำเร็จ
ความคิดริเริ่มสีจิ้นผิงในยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมทำให้จีนก้าวขึ้นสู่ฐานะผู้นำโลก ที่ชูธงแห่งสันติภาพและการพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของชาวโลกโดดเด่นเป็นสง่ายิ่งกว่าผู้นำคนใดในโลกปัจจุบัน ได้เป็นแม่เหล็กหลอมรวมใจทำให้ชาวไต้หวันยิ่งมีความปรารถนารวมชาติเพื่อความภาคภูมิใจร่วมกันของชาวจีนทั้งมวล
นี่จึงเป็นที่มาของการลุกฮือขึ้นของชาวไต้หวันในการเรียกร้องรวมชาติ
ล่าสุดนักวิชาการจีนทั้งในประเทศจีนและในสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน ก็ได้วิเคราะห์ไปในทางเดียวกันว่า หนทางในการรวมชาติของจีนนั้นอาจจะเกิดเหตุประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้หลายประการ เช่น
ประการแรก ประธานสีจิ้นผิงอาจปรับใช้หลักยุทธการเป่ยผิง เทียนสิน ที่ประธานเหมาเจ๋อตุงเคยใช้ปลดแอกปักกิ่ง นานกิง เทียนสิน สำเร็จมาแล้ว โดยสามารถรักษาความสมบูรณ์ทุกอย่างไว้ดังเดิม เพราะเป็นการเอาชัยชนะโดยไม่ต้องรบ
ประการที่สอง อาจเกิดเหตุการณ์แบบนายพลจางซูเหลียงจับกุมจอมพลเจียงไคเช็ค เพื่อบังคับให้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่น และด้วยการเจรจาอย่างเยือกเย็นและแหลมคมของอดีตนายกโจวเอินไหล จึงโน้มใจให้เจียงไคเช็คจำใจต้องยอมร่วมมือแบบเสียไม่ได้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการทำสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น เหตุการณ์นั้นก็อาจเกิดซ้ำรอยอีกก็ได้
ประการที่สาม อาจเกิดการปฏิวัติประชาชาติขึ้นในไต้หวัน ที่ประชาชนและทหารไต้หวันจะร่วมมือร่วมใจกันปลดแอกไต้หวัน เพื่อรวมเข้ากับประเทศจีน
ประการที่สี่ การใช้สงครามเศรษฐกิจปลดแอกไต้หวันตามความคิดของประธานาธิบดีปูติน ที่เคยหารือกับประธานสีจิ้นผิงมาหลายรอบแล้ว
ประการที่ห้า การเจรจาโดยสันติเพื่อรวมชาติตามทฤษฎี “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ของท่านเติ้งเสี่ยวผิง รวมทั้งการใช้แสนยานุภาพซึ่งเป็นท่าทีเดิม
ประการที่หก คือการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงหรือใช้อำนาจอธิปไตยทางกฎหมายเหนือไต้หวัน
ทั้งหกประการนี้บางมาตรการจะพร่ากำลังของสหรัฐและพันธมิตรจนกลายเป็นมหาอำนาจพิการไปก็ได้ แต่จะเป็นประการใดนั้นผู้เลือกคือสีจิ้นผิง ไม่ใช่ไบเดน หรือไช่อิงเหวิน!