อ.ไชยันต์ ย้อนปม ข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว! จับพิรุธ “แพทองธาร” ได้คะแนนสูง? เปิดผลสอบสวนรั่วจริง!
จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (28 ตุลาคม 2564) พรรคเพื่อไทยได้มีการเปิดตัว แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง บุตรสาวคนเล็ก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บนเวทีการประชุมพรรคใหญ่พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม
ต่อมาก็ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Annie Handicraft ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีบทสัมภาษณ์ของอ.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว เมื่อปี 2547 โดยระบุข้อความว่า
วันนี้พอเห็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงข่าวแล้ว นึกถึงบทสัมภาษณ์ของอาจารย์ ไชยันต์ ไชยพร เมื่อปีพศ. 2549 ขึ้นมาทันที
“ถ้ามีเด็กคนหนึ่งยากจน มาจากต่างจังหวัด หวังจะสอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ต้องถูกเบียดตกไปเพราะคนคนหนึ่งโดยไม่ยุติธรรม การที่เขาสอบเข้าไม่ได้ ชีวิตมันพลิกผันนะ”
สัมภาษณ์ : รศ. ดร. ไชยันต์ ไชยพร “เราไม่ควรเอาตัวของเราไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรับรอง การกระทำความผิดทางการเมืองของผู้นำ” นิตยสารสารคดี ปีที่ 22 ฉบับที่ 255 ประจำเดือนพฤษภาคม 2549 หน้า 46-60
” …. เคยมีคนโทรศัพท์มาต่อว่าผม บอกว่านายกฯ ทักษิณดีมาก นักวิชาการไม่รู้จริงหรอก ด่าว่าผมสารพัด ผมก็ปล่อยให้เขาพูดไป พอเขาพูดจบ ผมก็ถามเขากลับเกี่ยวกับเรื่องข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว ว่าเขาคิดยังไง เขาก็บอกข้อสอบเอนทรานซ์รั่วเพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยปล่อยให้ข้อสอบรั่วน่ะสิ อาจารย์เอาข้อสอบไปขาย ผมก็บอกไม่ใช่ คนออกข้อสอบคือกระทรวงศึกษาธิการ เสร็จแล้วผมก็บอกว่าพอมีข้อครหาเกิดขึ้นมา นายกฯ ไม่ลงมาเล่นประเด็นนี้ด้วยตัวเองเลย ขณะที่เวลามีวิกฤตอื่นๆ นายกฯ ลงมาเร็วมาก ที่สำคัญ ข้อสอบมารั่วในปีที่ลูกสาวนายกฯ สอบด้วย เด็กคนนั้นมีประวัติการสอบครั้งแรกคะแนนน้อย แต่พอข้อสอบรั่วคะแนนกลับสูง
ถึงตอนนี้เขาก็พูดเลยว่าถ้านายกฯ ทำดีขนาดนี้ ก็ยกให้ลูกเขาสักคนไม่เห็นเสียหาย ผมเลยบอกว่า…..คุณลองคิดดู ถ้ามีเด็กคนหนึ่งยากจน มาจากต่างจังหวัด หวังจะสอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ต้องถูกเบียดตกไปเพราะคนคนหนึ่งโดยไม่ยุติธรรม การที่เขาสอบเข้าไม่ได้ ชีวิตมันพลิกผันนะ คนที่สอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ หางานทำได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้นะ เขาจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ เขาช่วยเหลือครอบครัวของเขาได้ การให้การศึกษาคนมันยั่งยืน และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันเป็นระบบที่มีคุณธรรม ยุติธรรม มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเคารพมานานแล้ว
ผมบอกเขาต่อว่า คุณลองคิดดูสิว่าพอหลังจากมีการสืบสวนเรื่องนี้แล้ว พบว่าข้อสอบไปรั่วที่คุณวรเดช จันทรศร (เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาขณะนั้น) จากนั้นคุณวรเดชก็ถูกขอให้ลาออกไป แต่ล่าสุด คุณวรเดชกลับมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คุณตอบผมมาสิ นายกฯ ทักษิณทำอะไรอยู่ เขาก็บอกว่า แล้วผมจะกลับไปไตร่ตรองครับอาจารย์ อาจารย์พูดมีเหตุผล
ผมเลยคิดว่าคนที่ชอบนายกฯ ทักษิณโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการจ้างหรือให้เงินนะ ชอบเพราะคิดไปว่านายกฯ ทักษิณทำดี และเป็นสิ่งที่ดีกับประชาชนส่วนใหญ่ แบบนี้ยังคุยกันรู้เรื่องนะ ผมคิดว่าถ้าให้เวลา ๓-๔ เดือนโดยที่สื่อโทรทัศน์-วิทยุช่วยกันกระจายข่าวสารข้อมูลความจริงออกไป หรือเปิดให้มีเวทีสาธารณะมากขึ้น ระบอบทักษิณจะหมดไปทันที เพราะคนไม่โง่หรอก เพียงแต่ถูกปิดกั้นข่าวสาร และความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อวิถีชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของพวกเขา ไม่ใช่ดีแต่ช่วงสั้นๆ …. “
ล่าสุดวันนี้ (29 ตุลาคม 2564) อ.ไชยันต์ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า ปมปริศนาความไม่เสมอภาคและความอยุติธรรมทางการศึกษาในปี พ ศ 2547 กรณีข้อสอบ Entrance ปี 47 รั่ว แพรทองธาร คะแนนสูงมหัศจรรย์
เมื่อคะแนน Ent ครั้งนั้นออก ผลการสอบของลูกสาวนายกฯ เทียบกับครั้งแรกตะลึง ภาษาไทย จาก 52 เพิ่มเป็น 72
สังคม จาก 41.25 เพิ่มเป็น 67.5 ภาษาอังกฤษจาก 64 เพิ่มเป็น 84 คณิตศาสตร์ 2 จาก 27 เพิ่มเป็น 63
ศ.ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดซองต้นฉบับการ์ดข้อสอบ วิชาภาษาไทยและ วิชาสังคมศึกษาก่อนส่งให้คณะอนุกรรมการพิมพ์ข้อสอบ
ผลสรุปเอ็นทรานซ์รั่ว “ทักษิณ-อดิศัย”ต้องรับผิดชอบ(14 มิ.ย.47) สรุปเอ็นทรานซ์รั่ว “ทักษิณ-อดิศัย”ต้องรับผิดชอบ กรณีข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเอ็นทรานซ์รั่วที่ปรากฎขึ้นในรัฐบาลชุดนั้นถือเป็นรอยด่างให้กับวงการศึกษาไทยครั้งใหญ่ ทำให้ความเชื่อมั่นศรัทธาต่อระบบการสอบเอ็นทรานซ์ที่เคยได้รับความเชื่อถือศรัทธามานานนับสิบปีต้องสั่นคลอนอย่างหนัก ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต่างยืนยันว่า “ข้อสอบไม่รั่ว” รวมทั้งแสดงพฤติกรรมปกป้องคนผิดมาตลอด
เมื่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุด นายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน มีข้อสรุปว่า “ข้อสอบรั่ว” ศูนย์วิจัยฯ พรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้น เห็นว่าเมื่อผลสรุปออกมาแบบนี้ ทั้งนายกฯทักษิณ และ รมต.อดิศัย ต้องแสดงรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลสรุปคณะกรรมการสอบสวนฯ ตบหน้า “ทักษิณ-อดิศัย” ก่อนหน้านี้เมื่อเกิดเหตุการณ์อื้อฉาว สังคมตั้งข้อสงสัยเรื่องข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว เพราะมีการเปิดเผยพฤติกรรมของข้าราชการระดับสูงบางคน โดยเฉพาะ ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(ก.อ.) ว่าไม่โปร่งใส มีการเปิดดูข้อสอบหรือนำข้อสอบไปเก็บไว้ในห้องทำงาน ในครั้งนั้นบรรดานักเรียน ผู้ปกครองรวมทั้งประชาชนทั่วไปเกิดความสงสัยและเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาโดยเร็ว แต่ปรากฎว่า ได้รับการขัดขวางทุกวิถีทางทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะนายกฯทักษิณ และรมต.อดิศัยต่างออกมาปฏิเสธและเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
อีกทั้งในบางครั้งยังออกมาพูดในทำนองว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองหรือมีบางกลุ่มต้องการสร้างกระแสเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสสังคมเริ่มกดดันขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รัฐบาลทนฝืนกระแสต่อไปไม่ไหว ก็มีการย้าย ร.ต.อ.วรเดช ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา แทนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงให้คลายความสงสัยกับสังคม หรือยังมีการตบรางวัลความดีความชอบตามระเบียบสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เพิ่มให้อีก 2 ขั้น ที่สุดแล้วเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงต้องยอมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และมีข้อสรุปในเวลาต่อมาว่า “ข้อสอบรั่ว”
รวมทั้งยังระบุว่า การกระทำของ ร.ต.อ.วรเดช เป็นการไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 ข้อ 30 เพราะในรายงานการสอบสวนยังชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนอีกว่า ร.ต.อ.วรเดช เป็นผู้เปิดดูซองข้อสอบและเปลี่ยนแปลงสถานที่เก็บข้อสอบถึงสองครั้ง พฤติกรรมดังกล่าวของ ร.ต.อ.วรเดช ทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยังระบุว่า มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ฐานปฏิบัติราชการไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการและมติ คณะรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการตามมาตรา 85และมาตรา 91 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 และมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่
ดังนั้น. เมื่อรายงานผลการสอบสวนออกมาตรงกันข้ามกับท่าทีและคำยืนยันของผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลสังคมจึงต้องการรู้ว่า ทั้งสองคนดังกล่าวจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง “อดิศัยท้าทายสังคม ‘ตัดตอน’ ผลสอบเอ็นทรานซ์รั่ว” หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อะไรคือสาเหตุจูงใจให้ ร.ต.อ.วรเดช และ รมต.อดิศัย ถึงกล้าแสดงพฤติกรรมที่ท้าทายสังคมมาตลอด อย่างไรก็ดี ถ้าหากมองย้อนไปในอดีตแล้วก็สามารถเชื่อมโยงได้ทันทีจากคำพูดของนายกฯทักษิณ ที่เคยกล่าวว่า จะให้ นายอดิศัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไปจนครบ 4 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการประกันเก้าอี้กันไว้ล่วงหน้า ทำให้หลายฝ่ายเข้าใจนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ รมต.อดิศัย ไม่สนใจต่อสังคมมากนัก ประกอบกับเวลานี้สิ่งที่สังคมยังตั้งข้อสงสัยและไม่พอใจคือ ความพยายามในการบิดเบือนข้อสรุปของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจาก นายอดิศัย โพธารามิก ที่เคยออกมาแถลงรายงานผลการสอบสวนเพียงบางส่วนโดยสรุปเหลือเพียง 2 หน้า จากจำนวนทั้งหมด 15 หน้า
การแถลงดังกล่าวของ นายอดิศัย ทำให้หลายฝ่ายรวมทั้ง นายสุเมธ ถึงกับแสดงความผิดหวังพร้อมทั้งระบุว่า นายอดิศัยพยายาม “ตัดตอน”ผลการสอบสวน พฤติกรรมการ “อุ้ม” พวกเดียวกันจากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่ นายอดิศัย แต่งตั้ง นายวีระศักดิ์ วงศ์สมบัติ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) ซึ่งเป็นคนของกระทรวงศึกษาธิการด้วยกันเป็นประธานการสอบสวนวินัย ร.ต.อ.วรเดช แทนที่จะให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้สอบสวนตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ พฤติกรรมของ นายอดิศัย ดังกล่าว นอกจากบ่งบอกถึงความไม่ต้องการให้มีการแสวงหาความจริงกรณีข้อสอบรั่ว รวมทั้งมีท่าทีปกป้องผู้กระทำผิดอย่างชัดเจนดังกล่าวแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในด้านการศึกษาและการบริหารทางการศึกษา
ซึ่งกรณีนี้นักวิชาการด้านกฎหมายตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ระบุว่า ร.ต.อ.วรเดชมีความผิดวินัยร้ายแรง แต่นายอดิศัยระบุว่า แค่มีความผิดวินัยเท่านั้น หรือกรณีการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการซี 11 นั้นโดยหลักการแล้วจะต้องพักราชการผู้ถูกสอบวินัยร้ายแรงเอาไว้ก่อน อีกทั้งผู้ที่ทำหน้าที่ดำเนินการสอบสวนนั้นต้องไม่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้มีส่วนได้เสียอีกด้วย นักวิชาการจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ถึงกับระบุอย่างตรงๆ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2547 ว่า สาเหตุที่นายอดิศัยไม่ยอมเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า มีเงื่อนงำและมีการบิดบังความจริงต่อสาธารณชนอย่างแน่นอน
“องค์กรภาคประชาชนไม่ปล่อยคนผิดลอยนวล” จากพฤติกรรมพยายามปิดบังซ่อนเร้นดังกล่าวของกระทรวงศึกษาธิการทำให้เกิดการรวมพลังเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรประชาชนหลายองค์กรที่กำลังเคลื่อนไหว 2 แนวทางตามขั้นตอนคือ แนวทางแรก ยื่นเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อให้วินิจฉัยสั่งการให้ นายอดิศัยเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
แนวทางที่สองนั้น จะใช้มาตรการทางสังคมโดยจะทำหนังสือถึงนายอดิศัย ขอให้ส่งรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงไปให้ ก.พ.เพื่อดำเนินการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงกับ ร.ต.อ.วรเดช
เนื่องจากเห็นว่า นายอดิศัยมีส่วนได้เสียจึงไม่มีสิทธิ์ที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ร.ต.อ.วรเดช นอกจากนี้ยังจะปรึกษาไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงได้หรือไม่ และหากถึงที่สุดแล้วยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็จะใช้มาตรการตั้งโต๊ะเพื่อล่ารายชื่อ ร.ต.อ.วรเดช ให้ออกจากราชการ และขับไล่ นายอดิศัย ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อไป
สรุปความเคลื่อนไหวของสังคมที่เกิดขึ้นเวลานั้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกรณี “ข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว” เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนั้น
ที่สำคัญการกระทำผิดและการปกป้องการกระทำในครั้งนี้ถูกจับได้ไล่ทัน ด้วยผลการสอบสวนของคณะกรรมการที่กระทรวงศึกษาธิการตั้งขึ้นมาเอง ฉะนั้น การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและนายกรัฐมนตรีขณะนั้น นิ่งเฉยไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบใดๆ เหมือนกับกรณีอื่นๆ เป็นสิ่งที่สังคมรับไม่ได้