“แอมเนสตีสากล” ประกาศปิดสำนักงานทั้งหมดใน “ฮ่องกง” อ้างเหตุกม.ความมั่นคงใหม่ขัดขวางการทำงาน ไม่เป็นประชาธิปไตย ล่าสุดผู้บริหารฮ่องกง แคร์รี แลม แถลงยืนยันว่าใครปฏิบัติตามกฎหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะกฎหมายมีไว้รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2564 สำนักข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ เปิดเผยการแถลงข่าวของผู้บริหารฮ่องกง แครี่ แลมว่า กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่มี ‘วัตถุประสงค์ที่น่ายกย่องมาก’ ในการป้องกันและปราบปรามกิจกรรมที่อาจบ่อนทำลายความปลอดภัย ของสังคมฮ่องกงในทุกๆด้าน และย้ำว่า
“ภายใต้กฎหมายพื้นฐาน…เสรีภาพในการสมาคม เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการพูด เป็นต้น ได้รับการประกัน ดังนั้นจึงไม่มีองค์กรใดควรกังวลเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ถูกต้องตามกฎหมายในฮ่องกง แต่ต้องทำตามกฎหมาย”
ก่อนหน้านี้สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2564ว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ประกาศจะปิดสำนักงาน 2 แห่งในฮ่องกง ทั้งสำนักงานใหญ่ที่ดูแลสถานการณ์ในฮ่องกงและภูมิภาคภายในวันที่ 31 ต.ค. และสิ้นปี 2564 ตามลำดับ หลังเปิดมากว่า 40 ปี สาเหตุมาจากกฎหมายความมั่นคงที่จีนบังคับใช้เมื่อ 1 ก.ค. 2563 ไม่สามารถทำให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนในฮ่องกงจะดำเนินงานได้อย่างอิสระ
แอมเนสตี้ เปิดเผยว่า แอมเนสตี้เตรียมปิดสำนักงานในฮ่องกงทั้งหมด เนื่องจากกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่รัฐบาลจีนบังคับใช้ในฮ่องกงนั้น ทำให้ “แทบเป็นไปไม่ได้เลย” ที่กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนจะสามารถทำหน้าที่ได้โดยไม่เผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้
ดร.แอนจูลา มยา สิงห์ ไบส์ (Anjhula Mya Singh Bais) ประธานคณะกรรมการสากลของแอมเนสตี้ ออกแถลงการณ์ระบุว่า แอมเนสตี้จะปิดสำนักงานทั้งสองแห่งในฮ่องกงภายในสิ้นปีนี้ โดยเธอได้กล่าวถึงการปราบปรามที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาลฮ่องกง ซึ่งได้ส่งผลให้กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิอย่างน้อย 35 กลุ่มต้องยุติการทำหน้าที่ในปีนี้
ดร.สิงห์ ไบส์กล่าวว่า”การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยความลำบากใจอย่างยิ่ง และมีสาเหตุมาจากกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของฮ่องกง ซึ่งทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจะยังสามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง” พร้อมกับเสริมว่า “บรรยากาศของการปราบปรามและความไม่แน่นอนอันเป็นผลมาจากกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้เราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่า กิจกรรมแบบใดที่จะนำไปสู่การลงโทษ”
ในแถลงการณ์ยังชี้ว่า “สภาพแวดล้อมของความกดขี่และความไม่แน่นอนที่ยังดำเนินอยู่ที่เกิดมาจากกฎหมายความมั่นคงใหม่มันทำให้เป็นการยากที่จะสามารถรู้ได้ว่ามีความเคลื่อนไหวใดบ้างที่อาจนำมาสู่การลงโทษทางอาญา”
บีบีซี สื่ออังกฤษ ชี้ว่า ฮ่องกงถูกใช้เป็นฐานของกลุ่มแอมเนสตีมานานกว่า 40 ปี และปัจจุบันมีที่ตั้งสำนักงานแอมเนสตี 2 แห่งตั้งอยู่ในฮ่องกงโดยที่แรกจะให้ความสำคัญไปที่ฮ่องกงและสำนักงานที่ 2 จะมีเป้าหมายไปที่ระดับภูมิภาค ในอดีตฮ่องกงเคยถูกมองว่าเป็นฮับของกลุ่มNGO ทั้งหลายในสมัยเมื่อครั้งฮ่องกงยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษก่อนถูกส่งคืนไปให้จีนในปี 1997
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ลงนามให้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติมีผลบังคับใช้กับฮ่องกง เมื่อคืนวันที่ 30 มิ.ย.ปีที่แล้ว หลังจากนั้นมีผู้ถูกจับกุมและดำเนินคดีภายใต้กฎหมายดังกล่าวมากกว่า 120 คน หนึ่งในนั้นคือนายโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวแกนนำการประท้วงต่อต้านแผ่นดินใหญ่ ในปีนี้ กลุ่มเคลื่อนไหวกว่า 50 กลุ่มได้ยุบเลิกเช่นกัน เช่น กลุ่มแนวร่วมต่อต้านสิทธิมนุษยชนพลเรือน (Civil Human Rights Front) และ กลุ่มพันธมิตรฮ่องกงเพื่อสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยผู้รักชาติ เป็นต้น