เคลียร์ชัด!?ทำไม”น้ำมันแพง” ลดภาษี-เงินกองทุนอุ้มดีเซลเพิ่มได้ไหม?

1044

ปัญหาคนไทยใช้น้ำมันราคาแพงเป็นเรื่องคาใจและถกเถียงกันมานาน สถานการณ์ปัจจุบันจากปัจจัยภายนอกประเทศ แรงกดดันราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะไม่หยุดเพราะกลุ่มประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ไม่มีนโยบายผลิตเพิ่มและถือโอกาสกอบโกยกำไร นี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการแก้ไขของไทยและประเทศผู้บริโภคน้ำมันทั่วโลก

มาดูปัจจัยภายในประเทศ คนไทยจับตาดูรัฐบาลรับมือกับปัญหานี้อย่างไร ล่าสุดกระทรวงการคลังออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงว่า “ราคาน้ำมัน” ที่หน้าปั๊มสูงกว่าต้นทุนหน้าโรงงานเป็น เรื่องจริง! แต่ไม่ได้มากถึง 45%อย่างที่ลือกัน “ส่วนต่าง” นั้นมีค่าอะไรซ่อนอยู่บ้าง แล้วราคาขายปลีก “น้ำมัน” ในไทยแพงแค่ไหนเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน กระทรวงการคลังมาเคลียร์ให้เห็นกันชัดๆ สำหรับกรณีสมาคมรถบรรทุกขู่หยุดงานประท้วงรัฐบาลก็ต้องจัดการเร่งแก้ปัญหาโดยเร็ว เพราะอาจบานปลายส่งผลกระทบต่อระบบห่วงโซ่อุปทานการผลิต ซ้ำเติมเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวได้

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.64 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่ารัฐบาลเก็บภาษีและเงินกองทุนของภาครัฐสูงถึง 45% ของราคาน้ำมันต่อลิตรที่ประชาชนจ่ายนั้น ยืนยันว่าสัดส่วนเงินภาษีและกองทุนจะถูกจัดเก็บในสัดส่วนเพียง 6-23% เท่านั้น โดยเริ่มต้นจากการอธิบาย “โครงสร้างราคาขายปลีก” ของน้ำมันเชื้อเพลิง ในปัจจุบัน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 6 ส่วนหลักๆ ดังนี้ 

(1) ราคาหน้าโรงงาน ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ

(2) ภาษีสรรพสามิต ที่อัตราประมาณ 0.975 ถึง 6.5 บาทต่อลิตร ขึ้นกับประเภทน้ำมัน ซึ่งจัดเก็บบนหลักการด้านสิ่งแวดล้อม 

(3) ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่น ที่ร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นรายได้ท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะแก่ประชาชนในพื้นที่ 

(4) ภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 7 ซึ่งเป็นการจัดเก็บสินค้าเกือบทุกประเภท 

(5) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่จัดเก็บประมาณ -17.6143 ถึง 6.58 บาทต่อลิตร ขึ้นกับประเภทน้ำมัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ และ 

(6) ค่าการตลาด ซึ่งเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการ

สัดส่วนที่พูดกันเกี่ยวกับการเก็บภาษีและเงินกองทุนของภาครัฐสูงถึงร้อยละ 45 ของราคาน้ำมันต่อลิตรที่ประชาชนจ่ายนั้น จะพบว่า เป็นการนำสัดส่วนของราคาน้ำมันเบนซินปกติ ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้ในสัดส่วนที่น้อย และเป็นการใช้สำหรับรถยนต์ที่มีราคาสูง นำมาอ้างอิงใช้กับน้ำมันทุกประเภท จึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

เพราะหากเป็นน้ำมันประเภทอื่นเช่น เบนซินแก๊สโซฮอล ดีเซล LPG เป็นต้น สัดส่วนของภาษีและเงินกองทุนจะอยู่ในสัดส่วนเพียงร้อยละ 6 – 23 เท่านั้น

และในน้ำมันบางประเภท เช่น เบนซิน 95 E85 และ LPG สัดส่วนการเก็บภาษีและเงินกองทุนติดลบ เนื่องจากได้รับการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมัน

น้ำมันแต่ละประเภท จึงมีโครงสร้างราคาไม่เท่ากัน

เหตุผลที่ทำไมต้องเก็บ “ภาษีสรรพสามิต” และ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” จากสินค้าพลังงาน กระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นสากล เนื่องจากการบริโภคสินค้าพลังงานสร้างผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น การสร้างมลภาวะทางอากาศซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาวะของประชาชนในภาพรวม การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) และสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมา ดังนั้น เพื่อให้ราคาของสินค้าพลังงานสามารถสะท้อนผลกระทบและต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากการบริโภคสินค้าพลังงานต่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าพลังงานเพิ่มเติม 

ในด้าน “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” นั้น อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 10 ของมูลค่าสินค้าและบริการ แต่จัดเก็บจริงที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้าและบริการ เพื่อลดภาระแก่ประชาชน 

และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้วพบว่า ประเทศไทยมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำที่สุดในภูมิภาค รวมทั้งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม OECD จะพบว่า อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเฉลี่ยของกลุ่ม OECD สูงกว่าอัตราจัดเก็บจริงชองประเทศไทยเกือบ 3 เท่า หรืออยู่ที่ร้อยละ 19.3 ดังนั้น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้าและบริการ จึงอาจไม่เป็นการสร้างภาระแก่ประชาชนที่สูงเกินกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก

การจัดเก็บภาษีทั้งภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ โดยในปีงบประมาณ 2563 สัดส่วนภาษีสรรพสามิตและภาษี VAT คิดเป็นเกือบร้อยละ 40 ของรายได้รัฐบาลรวม ดังนั้น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มจึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่รัฐบาลจะสามารถนำมาใช้ในการบริหารประเทศและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมต่าง ๆ ได้ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการค้าขายและลดต้นทุนการขนส่ง การดำเนินมาตรการส่งเสริม SMEs การดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบจาก COVID-19 การให้บริการด้านสาธารณสุข เป็นต้น

หากวิเคราะห์เปรียบเทียบในภูมิภาคอาเซียน เกือบทุกประเทศต่างมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าพลังงานแล้วทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าพลังงานของประเทศไทยอยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน 

โดยหากพิจารณาจากราคาขายปลีก พบว่า“น้ำมันดีเซล” ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2564 บรูไน : 7.71 บาทต่อลิตรไทยอยู่กลางๆ : 29 บาทต่อลิตร สิงคโปร์สูงสุด : 53 บาทต่อลิตร “น้ำมันเบนซิน” ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2564 บรูไน : 13.18 บาทต่อลิตร ไทย : 31.95 บาทต่อลิตร สิงคโปร์ : 65.89 บาทต่อลิตร

อย่างไรก็ตาม เหตุปัจจัยภายนอกที่ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกปรับขึ้น รัฐบาลคงไม่สามารถจัดการกับสิ่งนี้ได้ แต่ปัจจัยภายใน การจัดเก็บภาษีสารพัดยิบย่อย ยังมีช่องทางจัดการได้ แม้ว่าจะต้องทำให้รายได้ลดลงไปบ้างก็อาจจำเป็นต้องทำ รัฐบาลยังจัดการปัญหาอย่างตั้งรับอยู่ อาจบานปลายกระทบระบบห่วงโซ่อุปทานทางเศรษฐกิจ ทั้งการผลิต การขนส่ง ด้วยขณะนี้กระแสการหยุดงานประท้วงจากกลุ่มรถบรรทุกได้เริ่มขึ้นแล้ว ควรเร่งเจรจาหาทางบรรเทาปัญหา จะอ้างว่าทำอะไรไม่ได้เลยนั้น เหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ??