ในที่สุดสองพรรคใหญ่เดโมแครตและรีพับลิกันก็ประนีประนอมยอมเพิ่มเพดานหนี้ ป้องกันชัดดาวน์และผิดนัดชำระหนี้ แต่ขยายเวลาให้กู้ใช้แค่เดือนธันวาคม 2564 นี้เท่านั้น ยอมปลดชนวนเศรษฐกิจคะมำหงายไว้ทะเลาะกันต่อ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อสูงยังอยู่ ขณะที่หนี้ครัวเรือนกระฉูดแตะ 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 5,070 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 14 ปี ส่วนใหญ่กู้ซื้อบ้าน คนอเมริกันมีหนี้ต่อหัวล่าสุด 86,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 2.9 ล้านบาท
ขณะนี้ รายได้จากการเก็บภาษีของอเมริกาไม่พอกับรายจ่ายอย่างมาก ขาดดุลสูงอเมริกาจึงไม่มีปัญญาจะใช้คืนจากเงินรายได้จากภาษี แม้จะพิมพ์เงินใช้เองโดยไม่มีทองคำหนุนได้ แต่กู้มาจนชนเพดานหนี้ทะลุเกินจีดีพีไปกว่า 100% แล้ว จึงจำเป็นต้องขอให้สภาคองเกรสอนุญาตให้กู้เพิ่มมาใช้ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ก้อนใหญ่มหาศาล จนรีพับลิกันไม่ยอมผ่าน คงลากยาวไปถึงปีหน้าแน่นอน สรุปว่าสหรัฐต้องกู้มาใช้หนี้และใช้จ่ายในงบประมาณทุกๆ ปีต่อไปอีก เหล่านักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั้งค่ายตะวันตก ตะวันออกต่างชี้ว่า ระเบิดเวลาของเศรษฐกิจล่มของสหรัฐ และจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจโลกใกล้เข้ามาแล้ว
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สาขานิวยอร์ก ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของสหรัฐฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2021 พบชาวอเมริกันทั่วประเทศเป็นหนี้เฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นมูลค่ารวมถึง 14.96 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และนับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 หรือในรอบ 14 ปี รวมถึงมากกว่าระดับหนี้ก่อนเกิดวิกฤตการระบาดในปี 2019 ถึง 8.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกิดจากการกู้ซื้อบ้าน โดยไตรมาสสองที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกถึง 2.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้หนี้กู้ซื้อบ้านขณะนี้รวมอยู่ที่ 10.44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งหนี้จากที่อยู่อาศัยนี้หมายรวมถึงการกู้ซื้อบ้านครั้งแรกและการรีไฟแนนซ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ปัจจุบันหนี้กู้ซื้อบ้านของชาวอเมริกันเริ่มส่อปัญหาเนื่องจากโครงการพักหนี้เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตโควิดระบาด สิ้นสุดลง ต้องรอการอนุมัติเพิ่มเพดานหนี้ แล้วกู้ใหม่รอออกมาตรการอุ้มต่อหรือไม่ซึ่งช่องว่างเวลานี้ ทำให้เกิดปัญหาการฟ้องร้องเรื่องสินเชื่อบ้าน และการฟ้องขับไล่อย่างมาก ซึ่งจะเป็นปัญหาที่จะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตามมาอย่างแน่นอน
ในส่วนหนี้จากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในช่วงไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังคงต่ำกว่าระดับหนี้บัตรเครดิตในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดที่ 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หนี้สินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้น 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่แบกรับภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น สถานีโทรทัศน์ CNBC ได้เปิดเผยรายงานการศึกษาวิจัยของ Oxford Economics พบว่า ชาวอเมริกันที่มีฐานะร่ำรวยกลับมีเงินออมเพิ่มขึ้นเกือบ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่เกิดวิกฤตไวรัสโควิดระบาด โดยความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นเป็นผลพวงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ บวกกับความร้อนแรงของตลาดหุ้น และความไม่แน่นอนของวิกฤตการระบาดที่ทำให้เศรษฐีชาวอเมริกันลดการใช้จ่ายลง ส่งผลให้ปริมาณเงินออมเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า 70% ของเงินออมชาวอเมริกันจากมูลค่าทั้งหมด 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าไปอยู่ในกระเป๋าของผู้มีอันจะกินชาวอเมริกันซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% ของประชากร ขณะที่ในส่วนของเงินออมส่วนเกิน หรือสัดส่วนของระดับการเติบโตของเงินออมที่มากกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาด พบ 80% ของเงินออมส่วนเกินที่มีมูลค่าทั้งหมด 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าไปอยู่ในกระเป๋าของคนรวย 20% ของสหรัฐฯ และ 42% ของเงินออมส่วนเกินดังกล่าวอยู่ในมือคนรวย 1% ของประเทศ
ขณะเดียวกัน เงินออมของครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางของชาวอเมริกันกลับออมได้น้อยลง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตไวรัสโควิดระบาด
แนนซี แวนเดน ฮูเทน(Nancy Vanden Houten)นักเศรษฐศาสตร์ที่ร่วมทำการศึกษาในครั้งนี้ระบุว่า แม้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ชาวอเมริกันจะหันมาประหยัดอดออมกันมากขึ้น แต่ระดับของความเหลื่อมล้ำของการออมเงินที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย และมากกว่าที่ประเมินกันไว้ก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ระดับการออมเงินแสดงให้เห็นความพร้อมในการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวสหรัฐฯซึ่งเป็นกลุ่มคนรวย โดยผลการศึกษาประเมินว่า จำนวนเงินออมราว 3.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมีการใช้จ่ายในช่วง 1 ปีครึ่งข้างหน้านี้ และเกินครึ่งหรือกว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นการใช้จ่ายจากกลุ่มคนร่ำรวย ทำให้ร้านอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไวน์ และสินค้าและบริการระดับไฮเอนด์ ทำรายได้ได้ดีกว่าธุรกิจและร้านค้าปลีกทั่วไป ในขณะที่คนทั่วไป และกลุ่มคนที่มีระดับรายได้น้อย นอกจากไม่มีเงินออม ยังมีความสามารถในการใช้จ่ายน้อยลงอีกด้วย
สังคมอเมริกันยังคงรวยกระจุกจนกระจาย เมื่อการระบาดโควิด-19 บุกเข้ามาสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนยิ่งถ่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่เรารู้ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวคราวของตลาดหุ้น ที่เป็นที่รวมของคนมีกำลังซื่อ ทั้งระดับรายได้ปานกลางจนถึงสูงและเหล่าเศรษฐีคนมีเงิน สิ่งที่เราคงจะติดตามต่อไปคือ ปัญหาในระดับรากฐาน เศรษฐกิจจริงของสหรัฐทั้งในชนบท ในเมือง เพราะว่า คำเตือน “วิกฤตเศรษฐกิจใหญ่กำลังมา” เป็นเรื่องที่เราไม่อาจมองข้าม และสหรัฐเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ1 ของโลก หากเกิดอะไรขึ้นย่อมส่งผลกระทบทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย!!