ฮือฮากับประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรของสิงคโปร์ลงมติผ่านกฎหมายที่จะให้อำนาจกว้างขวางแก่รัฐบาล ในการจัดการกับการแทรกแซงทางการเมืองโดยต่างชาติ ทั้งครอบคลุมการสืบค้น จำกัดการเคลื่อนไหวด้านลบที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในโซเชียลมิเดียและแน่นอนว่า ฝ่ายค้านและนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือปราบปรามผู้เห็นต่างจากรัฐตามคาด แต่เสียงส่วนใหญ่ในสภา และสาธารณชนทั่วไปมองว่า ถึงเวลาต้องมีการควบคุมดูแลเพื่อไม่ให้สังคมปั่นป่วนทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ
เมื่อวันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2564 สำนักข่าวเอบีซี,รอยเตอร์และสเตรทไทมส์รายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรของสิงคโปร์อภิปรายร่างพระราชบัญญัติต่อต้านการแทรกแซงจากต่างชาติ (FICA) ฉบับนี้อย่างมาราธอนจนถึงเกือบเที่ยงคืนของเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2564 ก่อนที่จะลงมติโดยเสียงข้างมากเห็นชอบ 75 เสียง คัดค้าน 11 เสียง และงดออกเสียง 2 คน และทำให้ประเทศเกาะขนาดเล็กแห่งนี้ ซึ่งชัดเจนว่ามีความเสี่ยงต่อการแทรกแซงจากต่างชาติ เป็นประเทศล่าสุดต่อจากออสเตรเลียและรัสเซียที่ผ่านกฎหมายลักษณะเดียวกันในช่วงไม่กี่ปีมานี้
กฎหมายนี้จะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทางการบังคับผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มทางโซเชียลมีเดียต่างๆต้องปฏิบัติอย่างเข้มงวด โดยมอบข้อมูลของผู้ใช้งาน, ปิดกั้นเนื้อหา, และลบแอปพลิเคชันที่ใช้ในการแพร่กระจายเนื้อหาที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นปรปักษ์ นอกจากนี้ กลุ่มหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศอาจถูกจัดให้เป็น “บุคคลที่มีนัยสำคัญทางการเมือง” ซึ่งจะต้องเปิดเผยแหล่งเงินทุนที่ได้มาจากต่างประเทศและต้องอยู่ภายใต้ “มาตรการตอบโต้” เพื่อลดความเสี่ยงของการก้าวก่ายจากต่างแดน ผู้ฝ่าฝืนมีทั้งโทษจำคุกหรือปรับ
กฎหมายนี้จะไม่ครอบคลุมถึงการสร้างหุ้นส่วนในต่างประเทศ, การชักชวนทำธุรกิจในต่างแดน, การร่วมเครือข่ายกับต่างชาติ, การจัดหาเงินบริจาค หรือผู้ที่หารือนโยบายหรือประเด็นการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขากับเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติหรือหุ้นส่วนธุรกิจ หรือการสนับสนุนด้านการกุศล
เค. ชานมูกัม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อสภาฯว่า “อินเทอร์เน็ตได้สร้างสื่อใหม่ที่ทรงพลังสำหรับการโค่นล้ม ประเทศต่างๆ กำลังพัฒนาความสามารถในการโจมตีและป้องกันอย่างแข็งขัน เนื่องจากเป็นอาวุธสงครามที่เท่าเทียมและมีศักยภาพมากกว่ากองกำลังทางบก ทางอากาศ และทางเรือของพวกเขา” “ตราบใดที่เป็นการดำเนินการอย่างเปิดเผยและโปร่งใส และไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความพยายามบิดเบือนวาทกรรมทางการเมือง หรือบ่อนทำลายผลประโยชน์สาธารณะ เช่น ความมั่นคง ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี”
นักวิจารณ์บางคนมองว่า การใช้ถ้อยคำกว้างๆ ในกฎหมายฉบับนี้ทำให้กิจกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายตกอยู่ในความเสี่ยงไปด้วย องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนกล่าวว่า กฎหมายนี้อาจวางกับดักสื่ออิสระ ส่วนฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรต์วอตช์เอเชีย วิจารณ์ว่า สิงคโปร์สร้างภาพอิทธิพลต่างชาติเป็นปีศาจ เพื่อขยายความชอบธรรมในการดำเนินคดีกับนักการเมืองฝ่ายค้าน, นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม และสื่ออิสระ โดยไม่กล่าวถึงการเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศจากซีไอเอ และกลุ่มเคลื่อนไหวอิสระจากต่างแดน
ด้านยูจีน ตัน อาจารย์นิติศาสตร์มหาวิทยาลัยการจัดการแห่งสิงคโปร์ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ผ่านออกมาโดยไม่ได้มีการเสริมสร้างการตรวจสอบขอบเขตและถ่วงดุล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทบทวนความชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ดี ชานมูกัมรมว.มหาดไทยยืนกรานว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นสมดุลที่ดีที่สุดแล้ว ระหว่างการจัดการกับความเสี่ยงกับการตรวจสอบการใช้ในทางที่ผิด