วิกฤตโควิด-19 แฉความล้มเหลวระบบสุขภาพของสหรัฐอเมริกาอย่างหมดเปลือก ตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศปธน.ทรัมป์และครอบครัว คณะผู้บริหารรัฐ คนงานบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์อเมซอนที่แสนจะมั่งคั่ง จนถึงประชาชนทั่วประเทศ ล่าสุดต้องเผชิญกับการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ สาหัสยิ่งกว่าเดิม เมื่อสถิติติดเชื้อพุ่งถึง 111% ที่วิสคอนซิล แต่ผ่านการดีเบตดุเดือดของคู่แข่งขันชิงนำตำแหน่งประธานาธิบดีที่จะมาถึงพ.ย.ศกนี้ มีแต่ถ้อยคำตอบโต้กันว่าใครเลวกว่ากัน แต่การพูดถึงความทุกข์สาหัสของประชาชนและหนทางแก้ไขไม่มีเลย หมายความว่าตราบใดที่ยังไม่รู้ผลใครชนะได้คุมอำนาจ ประชาชนอเมริกันจะต้องเผชิญชะตะกรรมโรคร้ายไปแบบตัวใครตัวมัน “อเมริกันฮีโร่”ไม่มีจริง จะไปช่วยใครได้ในเมื่อตัวเอง พลเมืองของตัวเองยับเยินช่วยตัวเองไม่ได้ขนาดนี้
ปรากฏการณ์สะท้อนธาตุแท้
วันที่ 1 ต.ค.2563 ประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ทวิตแจ้งว่าตนและภรรยา ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และกำลังอยู่ในสถานที่กักตัว ก่อนหน้านี้ “โฮป ฮิคส์” ที่ปรึกษาคนสำคัญ ติดไวรัสโรคโควิด-19 โดยเขานั้นได้ติดตามปธน.ทรัมป์ เดินทางไปหลายสถานที่ในสัปดาห์นี้เพื่อรณรงค์หาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง
1.ผู้นำและผู้บริหารระดับสูงป่วยเพราะประมาทเชื้อโรค
-โฮป ฮิคส์ วัย 31 ปีเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดทรัมป์ที่สุดที่ติดโควิด เขาได้ติดตามทรัมป์ เดินทางไปหลายสถานที่ตลอดสัปดาห์ รวมทั้งขึ้นเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ไปร่วมฟังการโต้วิสัยทัศน์ที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ และมีภาพที่เธอลงจากเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี ที่เมืองคลีฟแลนด์ เมื่อวันอังคาร( 30 ก.ย.) โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย และอยู่ใกล้กับทรัมป์มากขึ้นอีก ขณะอยู่บน มารีน วัน เฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่งในวันต่อมา ขณะทรัมป์เดินทางไปหาเสียงในมลรัฐมินนิโซตา
-ผู้ว่าการมลรัฐโอคลาโฮมา,สหรัฐฯ ป่วยโควิดเช็กไทม์ไลน์ลงพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อต่อเนื่อง
-อย่างไรก็ตามในช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้ มีรายงานว่าคนใกล้ชิดของทรัมป์ป่วยโควิด แม้กระทั่งแฟนของจูเนียร์ ทรัมป์ด้วย
2.กำลังแรงงานสำคัญในยักษ์อีคอมเมิร์ซชื่อดังติดมานานเพิ่งเปิดเผย
อเมซอน ออกมาเปิดเผยว่า มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในหมู่พนักงานของบริษัทระยะ 6 เดือนมีพนักงานเกือบ 20,000 รายติดเชื้อคิดเป็น 1.44% ของพนักงานทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ อเมซอน ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลผู้ติดเชื้อมาโดยตลอด แม้จะถูกกลุ่มแรงงาน นักการเมือง และเจ้าหน้าที่กำกับดูแล ออกมากดดันหลายครั้ง แต่อเมซอนได้ยอมเปิดเผยผ่านทางบล็อกของบริษัทน่าจะเป็นเพราะแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มไม่หยุดไม่อาจปล่อยไว้ได้อีกแล้ว ข้อมูลบ่งชี้ว่าระหว่างวันที่ 1 มี.ค. ถึง 19 ก.ย. มีพนักงาน 19,816 ราย ที่ยืนยันแล้วหรือคาดว่าติดโรคโควิด-19 จากพนักงานทั้งหมดประมาณ 1.37 ล้านคนของอเมซอนและโฮล ฟู้ดส์ มาร์เก็ต ทั่วสหรัฐ
การเปิดเผยข้อมูลนี้มีขึ้นในขณะที่พนักงานตามศูนย์โลจิสติกส์เริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์แนวทางปกป้องสวัสดิภาพพนักงานของแอมะซอน รวมถึงการที่บริษัทลังเลที่จะเผยข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานของพวกเขาที่ติดเชื้อโควิด-19
3.ติดเชื้อเพิ่ม 111% ในวิสคอนซิล-ติดเชื้อเพิ่มทะลุ 27 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ
โทนี เอเวอร์ส ผู้ว่าการรัฐวิสคอนซินประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขครั้งใหม่ (22 ก.ย.63) และขยายข้อบังคับสวมหน้ากากไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน เอเวอร์ส ระบุว่าการรวมตัวทางสังคมได้นำมาสู่จำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นในรัฐวิสคอนซิน โดยเฉพาะในหมู่ประชากรอายุระหว่าง 18-24 ปี
ล่าสุดยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ทั้งประเทศเพิ่มสูงขึ้นใน 27 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐในเดือนกันยายน และรัฐวิสคอนซินมีอัตราผู้ป่วยติดเชื้อพุ่งสูงถึงร้อยละ 111 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐวิสคอนซินเตือนประชาชนให้อยู่ในบ้านและเลี่ยงการชุมนุม ก่อนถึงการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่เมืองเจนส์วิลล์และกรีนเบย์ในสัปดาห์หน้า
ระบบสาธารณสุขสหรัฐไม่เคยมี-มีเงินเท่าไหร่ทุ่มเทอุ้มภาคการเงินและธุรกิจขนาดใหญ่
นพ.แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐแถลงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในภาวะล้มเหลว ชาวอเมริกันต้องตระหนักถึงข้อเท็จจริงว่าระบบสุขภาพของสหรัฐกำลังล้มเหลวต่อให้ไม่อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ และในอีกไม่ช้าก็จะเป็นที่รู้กันทั่วว่าระบบสาธารณสุขไม่เคยมีอยู่จริงในประเทศนี้
สหรัฐไม่มีระบบสุขภาพเพื่อดูแลคนทั้งประเทศ จะมีก็แต่ระบบการรักษาพยาบาลแบบมุ่งเน้นกำไรสำหรับผู้ที่มีกำลังจ่ายและระบบประกันสังคมสำหรับผู้ที่โชคดีมีงานประจำ ทั้งสองระบบนี้ตอบสนองก็แต่ความต้องการส่วนบุคคลซึ่งไม่ใช่ความต้องการของประชาชนในภาพรวม เพราะในสหรัฐนั้นคำว่า “สาธารณะ” ในกิจการด้านการสุขภาพ การศึกษา หรือสวัสดิการสังคมหมายถึง “การรวมความต้องการส่วนบุคคลไว้ด้วยกัน” ไม่ใช่กิจการเพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบการเงินของสหรัฐเองก็จะยิ่งเห็นความต่าง ธนาคารกลางเป็นกังวลต่อสุขภาพของตลาดเงินในภาพรวม และเมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งอนุมัติเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธนาคารพาณิชย์ แต่เรื่องสุขภาพของชาวอเมริกัน ไม่มีการทุ่มเงินงบประมาณเพื่อบรรเทาปัญหาสุขภาพ ไม่มีองค์กรเพื่อคอยดูแลและบริหารกิจการสาธารณสุข หรือพอจะสรุปได้ว่ามีการทุ่มเงินก้อนโตเพื่อป้องกันตลาดเงินล่มสลายแต่ไม่มีเงินก้อนใหญ่สำหรับป้องกันความล่มสลายของมนุษย์ แม้ชุดตรวจ COVID-19 มีพร้อมใช้แต่ก็ไม่มีองค์กรใดที่รับผิดขอบการแจกจ่ายชุดตรวจให้ถึงมือชาวอเมริกันโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ฟากองค์กรสาธารณสุขทั้งระดับท้องถิ่นและระดับรัฐเองต่างก็ถังแตกและประสบปัญหาขาดบุคลากรอย่างรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2551
การรักษาพยาบาลในสหรัฐให้บริการโดยบรรษัทเอกชนซึ่งมุ่งเน้นกำไรโดยปราศจากข้อบังคับเรื่องทุนสำรอง ด้วยเหตุนี้จำนวนเครื่องช่วยหายใจที่มีอยู่จึงไม่เพียงพอสำหรับรับมือกับจำนวนผู้ป่วยวิกฤติจากไวรัสโคโรนาซึ่งพุ่งขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ทั้งจำนวนเตียงห้องฉุกเฉินที่มีอยู่ราว 45,000 เตียงก็ดูจะกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยที่คาดว่าจะสูงถึง 2.9 ล้านคน
“สหรัฐไม่เคยมีระบบสาธารณสุข ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไม่มีศักยภาพปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน มาตรการเยียวยาที่ออกมาแค่แก้ปัญหาชั่วคราวก็ยังไม่ทั่วถึงไม่เพียงพอ”