ผ่าตระกูล’รอธส์ไชลด์’?!?เบื้องลึกทุนผูกขาด ชักใยสหรัฐ-ตะวันตก ครองโลกผ่านเครือข่ายตลาดการเงิน-ธนาคาร

5421

ตระกูล ‘รอธส์ไชลด์’ ได้สร้างผลสะเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อคนทั้งโลกด้วยการครอบงำชักใยเครือข่ายทุนการเงิน การธนาคารของโลกไว้ในมือ แต่คนส่วนใหญ่รู้จักเพียงว่า เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ผู้สร้างอาณาจักรแก่วงศ์ตระกูลให้ยิ่งใหญ่คือ เมเยอร์ อัมส์เชล รอธส์ไชลด์มีคำขวัญว่า “ถ้าข้าพเจ้ามีอำนาจควบคุมการออกเงินตราของประเทศ ข้าพเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครคือผู้ออกกฎหมาย”  และดูเหมือนว่าพวกเขาทำสำเร็จมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ที่มาของชื่อวงศ์ตระกูล คือเครื่องหมายประจำตระกูลเป็นโล่สีแดงในภาษาอังกฤษนั้นเรียกว่า “Red Shield” แต่ถ้าเป็นภาษาเยอรมันจะเรียกว่า “Roth Schild” และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อตระกูลรอธส์ไชลด์ นั่นเอง

ด้านทรัพย์สินของเครือข่ายตระกูลรอธส์ไชลด์ เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ตัวเลขอย่างแน่ชัด ในปี 2016 องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Oxfam International เปิดเผยว่าตระกูลนี้มีทรัพย์สินที่ถือครองและควบคุมอยู่ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  ประมาณ 60 ล้านล้านบาท มาถึงปัจจุบันน่าจะเกิน 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นอย่างน้อย

ตระกูลรอธส์ไชลด์ ได้เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาจากการปล่อยกู้รายย่อย ล่วงสู่ธุรกิจธนาคาร โดยเริ่มต้นที่แฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ผู้นำสร้างความยิ่งใหญ่ของตระกูลรอธส์ไชลด์ คือ “เมเยอร์ อัมส์เชล รอธส์ไชลด์ (Mayer Amschel Rothschild)” โดยเริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ก่อนที่ตระกูลจะขยายความยิ่งใหญ่ออกไปผ่านบุตรชายทั้งห้าของเมเยอร์

เมเยอร์ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลนั้น เกิดในปีค.ศ.1744 (พ.ศ.2287) ที่แฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ในย่านที่พักอาศัยของชาวยิว พ่อแม่ของเมเยอร์เสียชีวิตด้วยไข้ทรพิษขณะที่เมเยอร์อายุได้ 12 ขวบ เขาจึงถูกส่งไปอยู่กับญาติ ก่อนจะถูกส่งไปเรียนรู้งานกับ “ไซมอน ออพเพนไฮเมอร์ (Simon Oppenheimer)” นายธนาคารชาวยิวผู้มีชื่อเสียงซึ่งเป็น 1 ใน 13 ตระกูลยิวที่เชื่อในสายเลือดบริสุทธิ์ มีบทบาทครอบครองธุรกิจครอบคลุมทุกสาขาในโลก(The Thirteen)

ต่อมาเมเยอร์ได้ส่งบุตรชาย ของตนเองไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับมติศาลสูงสุดแห่งชาวยิวที่เรียกว่า the Great Sanhedrin 

โดยส่ง อัมเชล เมเยอร์ รอธส์ไชลด์(Amschel Mayer Rothschild)ลูกชายคนโต ไปอยู่ที่แฟรงก์เฟิร์ต-เยอรมนี, ซาโลมอน(Salomon Mayer Rothschild) ไปเวียนนา-ออสเตรีย, นา่ธาน (Nathan Mayer Rothschild ไปลอนดอน-อังกฤษ, คาร์ลมาน(Calmann Mayer Rothschild) ไปเนเปิลส์-อิตาลีและจาคอบหรือเจมส์ (Jacob Mayer Rothschild) ไปปารีส-ฝรั่งเศส ซึ่งทายาทรุ่นที่ 5 ของเจมส์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ ปธน.มาครงแห่งฝรั่งเศสคนปัจจุบัน

 

เหล่านี้คือจำนวนพี่น้องทั้งหมดที่สร้างอาณาจักรผูกขาดของจักรวรรดินิยมแห่งทุนครอบคลุมไปทั่วทวีปยุโรป อเมริกา และทั่วโลก

เมเยอร์ อัมเชล ได้ทำข้อตกลงก่อนส่งลูกแต่ละคนเดินทางไปทั่วยุโรปซึ่งกลายเป็น “บัญญัติศักดิ์สิทธิ์” ของตระกูลในเวลาต่อมา เพื่อเชื่อมโยงญาติพี่น้องให้ผูกกันเอาไว้แน่นเหนียว สองข้อในจำนวนนี้ ได้แก่ 1) การใช้รหัสลับภาษายิดดิชในการสื่อสารความลับซึ่งกันและกัน  2) การอนุญาตให้คนในตระกูลแต่งงานกันเองได้ ข้อตกลงที่ผิดกฎวิทยาศาสตร์นี้ ได้รับการปฏิบัติต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ในบรรดาลูกๆ ของเมเยอร์ “นาธาน รอธส์ไชลด์ (Nathan Mayer Rothschild)” บุตรคนที่สาม ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมากที่สุด และเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก มันเริ่มมาตั้งแต่เขาได้เป็นตัวแทนของสำนักค้าเงินและปล่อยเงินกู้ ของพระเจ้าวิลเลียมแห่งเฮสเซ่ ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี อันเป็นศูนย์กลางค้าเงินของยุโรปตะวันออกในเวลานั้น และได้เป็นขาใหญ่แห่ง ซิตี้ออฟลอนดอนอย่างเต็มภาคภูมิในเวลาต่อมา

ธนาคาร “Rothschild & Co” ซึ่งก่อตั้งโดยนาธาน ยังคงเปิดดำเนินการอยู่จนถึงทุกวันนี้ และในปีค.ศ.2019 (พ.ศ.2562) ก็ทำรายได้ไปถึง 1.87 พันล้านปอนด์ และมีสินทรัพย์รวมกว่า 76,000 ล้านยูโร

คนรุ่นที่สองของตระกูลรอธส์ไชลด์ที่กระจายไปอยู่ทั่วยุโรป คือเครือข่ายแห่งอำนาจในเวลาต่อมานั่นเอง 

3 อำนาจที่แผ่อิทธิพลครอบงำโลกอย่างเด่นชัดนับตั้งแต่ศัตวรรษที่ 18 จนมาถึงยุคนี้มีวอชิงตันดีซี ซึ่งเป็นรัฐเสมือนอิสระที่ดูแลรัฐอื่นที่เหลือของสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางทางด้านการทหาร เดอะซิตี้ออฟลอนดอนคุมเครือข่ายการเงิน-การธนาคารของโลก และวาติกันคุมเครือข่ายการเมืองโลก และเบื้องหลังเครือข่ายอำนาจครอบโลกนี้อยู่ภายใต้เงาของยิวไซออนนิสต์ในนามสมาคมลับชาวยิว  “ฟรีเมนสัน”

มาดูจุดพลิกผันที่ทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์ครอบงำโลกผ่านระบบธนาคารกัน  ก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสไม่นาน ตระกูลเครือข่ายยิวออกแบบระบบแบ็งก์ของโลก มีการจัดตั้งเซ็นทรัลแบงก์ครั้งแรกที่เนเธอร์แลนด์ เป้าหมายคือสร้างทาสเงินที่ไม่อาจต่อรองผ่านระบบธนาคาร ผู้กู้จะมีฐานะเป็นทาสดอกเบี้ย (Dept Slave) ทำให้ผู้ให้กู้มีอำนาจบีบบังคับไม่จบสิ้น

ซิตี้ออฟลอนดอนที่ยิ่งใหญ่บริหารควบคุมโดยนาธาน ได้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกโดยใช้ FED เป็นตัวแทนเคลื่อนไหวออกหน้าในปัจจุบัน  ก็สืบเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญพลิกโลก2 กรณี 

ครั้งสงครามชิงความเป็นเจ้าในยุโรประหว่าง นโปเลียนแห่งฝรั่งเศสกับลอร์ด เวลลิงตันแห่งอังกฤษ และในที่สุด สมรภูมิวอเตอร์ลู ปี 1815 ก็คือผลแห่งความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศส  งานนี้รอธส์ไชลด์รวยเละ แอบถือหางทั้งสองฝ่าย และปล่อยข่าวลือทำลายพันธบัตรอังกฤษแล้วช้อนซื้อในราคาถูก ทำให้ตระกูลรอธไชลด์เป็นเจ้าของสินทรัพย์  พันธบัตรอังกฤษ มีอำนาจเหนือBank of Englandอย่างสมบูรณ์ ขณะที่ปล่อยกู้กับฝรั่งเศสในอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงเพื่อใช้ในสงคราม ก็รีดเอาค่าตอบแทนมหาศาล คำพูดของนโปเลียนสะท้อนความเจ็บปวดหลังพ่ายแพ้ว่า

“เมื่อรัฐบาลใดๆที่ต้องอาศัยเงินจากธนาคาร หัวหน้าของพวกเขาคือธนาคาร ไม่ใช่รัฐบาล ก็จะคุมเหนือกว่า เนื่องจากมือของผู้ให้เงินจะอยู่สูงกว่ามือของผู้รับเงินตลอดกาล เงินนั้นไม่มีปิตุภูมิ นักการเงินจึงไม่รู้ว่า อะไรคือรักชาติ อะไรคือความสูงส่ง พวกเขามีความประสงค์เพียงประการเดียวคือกำไร” (นโปเลียน โบนาปาร์ต 1815)

และกลวิธีทุบมูลค่าหลักทรัพย์แล้วช้อนซื้อปัจจุบันยังใช้กันอยู่เรียกกันว่า กลยุทธ์รอธส์ไชลด์โมเดลหรือวอเตอร์ลูโมเดล

การแผ่ขยายอาณาจักรก้าวเข้าสู่โลกใหม่คือ “สหรัฐอเมริกา” เริ่มขึ้นที่การจัดตั้ง FED หรือธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา แท้ที่จริงแล้วFED มีสถานะเป็นเอกชนไม่ใช่ของรัฐบาลสหรัฐฯ  โดยมีธนาคารและวาณิชธนกิจของตระกูล Rothschild ถือหุ้นหลักอยู่ในนั้น จึงมีสถานะในการควบคุมและออกแบบเศรษฐกิจทุนนิยมในอเมริกาตัวจริง ที่สถาบันการเงินทั่วโลกและตลาดหลักทรัพย์ต้องเงี่ยหูฟัง  นอกจากนี้ตระกูลรอธส์ไชลด์ยังเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมการรถไฟในยุโรปและอเมริกา กิจการขนส่ง  เหมืองทองคำและเพชร (DeBeers) เหมืองแร่ (Rio tino) ธนาคารขนาดใหญ่ วาณิชธนกิจ เช่น โกล์ดแมนแซค เจพีมอร์แกน ซิตี้แบงค์ บาร์แค บีเอนพี ยูบีเอส เป็นต้น  อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน และอีกมากมาย 

ปรัชญาทางความคิดในการสร้างความร่ำรวยมหาศาลของตระกูล รอธส์ไชลด์ ก็คือ “การเติบโตและการพังทลายทางเศรษฐกิจจะสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่เสมอ” เมื่อตระกูลรอธส์ไชลด์สามารถควบคุม BOE:Bank OF England, FED:Federal Reserve และ ECB:European Central Bank หรือธนาคารกลางของกลุ่มยูโรโซน ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เท่ากับว่าสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบนั่นเอง