นักลงทุนคึกคักเมื่อประธานเฟดส่งสัญญาณยังไม่เปลี่ยนนโยบาย ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 22 ก.ย.2564 โดยระบุว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในขณะนี้ แต่กระนั้นก็ไม่อาจปกป้องตลาดการเงินได้ถ้ารัฐสภาฯไม่ยอมเพิ่มเพดานหนี้ ทำให้สหรัฐผิดนัดชำระหนี้ นั้นหมายถึงหายนะเครดิตอย่างที่แก้ไขไม่ได้
สภาคองเกรสกำลังเข้าใกล้วิกฤตหนี้ท่วมหัวอีกครั้ง ฝ่ายนิติบัญญัติมีเวลาจนถึงกลางเดือนตุลาคมที่จะเพิ่มหรือระงับวงเงินกู้ยืม หรืออนุญาตให้สหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ ผลสุดท้ายจะไม่สามรถนำเงินไปใช้จ่ายในโครงการสาธารณะที่สำคัญหลายรายการ จุดชนวนการตกงานครั้งใหญ่ โยนตลาดการเงินไปสู่ความโกลาหล และมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะลงเอยด้วยการทำร้ายตัวเองด้วยภาวะถดถอยยาวนาน
ประธานเฟดย้ำว่า “ไวรัสสายพันธุ์เดลตาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างล่าช้า อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าในการฉีดว้คซีนจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส และจะช่วยให้ภาวะเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2564 ว่าเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่าธนาคารกลางไม่สามารถปกป้องเศรษฐกิจและตลาดการเงินของสหรัฐจากความเสียหายร้ายแรงได้ หากสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ การปรับเพิ่มเพดานหนี้เป็นภาระที่คณะบริหารต้องดำเนินการให้ทันกับสถานการณ์
พาวเวลล์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในงานแถลงข่าวเสมือนจริงว่า “เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องเพิ่มเพดานหนี้ให้ทันท่วงที เพื่อให้สหรัฐฯ สามารถชำระค่าใช้จ่ายเมื่อถึงกำหนด”
“ความล้มเหลวในการทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน” พาวเวลล์กล่าวเสริมว่าสหรัฐฯ ไม่ควรผิดนัดในข้อผูกพันใดๆ และควรจ่ายเมื่อถึงกำหนด
เขากล่าวอีกว่า“ไม่มีใครควรทึกทักเอาเองว่าเฟดหรือใครก็ตามสามารถปกป้องตลาดและเศรษฐกิจ การปกป้องอย่างเต็มที่ทำได้ ในกรณีที่เกิดความล้มเหลวในการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะชำระหนี้เหล่านั้น”
คำพูดของพาวเวลล์มีขึ้นหลังจากอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐสภาเพิ่มวงเงินหนี้ของรัฐบาลกลางโดยเร็ว
อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯได้เขียนในจดหมายถึงผู้นำรัฐสภาสหรัฐฯระบุว่า “ความล้มเหลวในการแก้ไขขีดจำกัดหนี้และการยอมให้มีการผิดนัดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ” โดยตั้งสังเกตว่าแม้การผิดนัดในระยะสั้นก็อาจคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐได้
นอกจากนี้นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ คนปัจจุบันยังเตือนเมื่อวันอาทิตย์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอย หากรัฐสภาล้มเหลวในการเพิ่มขีดจำกัดหนี้อย่างรวดเร็ว
ตามข้อตกลงด้านงบประมาณสองพรรคใหญ่เดโมแครต และรีพับลิกัน ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 สภาคองเกรสได้ระงับวงเงินหนี้จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 หลังจากวงเงินหนี้มีผลบังคับใช้กลับคืนมาในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 จำนวนหนี้อยู่ที่ 28.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้เริ่มใช้ “มาตรการพิเศษ” เพื่อดำเนินการจัดหาเงินทุนให้กับรัฐบาลใช้ในกิจการต่างๆต่อไปชั่วคราว และจะหมดเขตในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้