จับโกหกไบเดนบนเวทีUN!?! อ้างสหรัฐฯไม่ต้องการสงครามเย็น แต่เข็นกลุ่มต้านจีนเพียบ

1114

บนเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ปธน.โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ปราศรัยผ่านการถ่ายทอดสดในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา 21 กันยายน พ.ศ. 2564 ท่ามกลางการจับจ้องของนานาชาติ  ผู้นำสหรัฐฯยังกล้าบิดเบือนความจริงในสิ่งที่สหรัฐอเมริกากระทำนับตั้งแต่เขาขึ้นกุมบังเหียนประเทศ สหรัฐมีท่าทีแข็งกร้าวกับจีนทั้งทางการทูต เศรษฐกิจและการทหาร จนกระทั่งเลขาธิการUN ยังต้องวิงวอนให้สหรัฐ-จีนปรับความสัมพันธ์ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามเย็นครั้งใหม่ และปธน.ไบเดนปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า ไม่จริง สหรัฐไม่ได้ปลุกสงครามเย็น แถมด้วยการใส่ร้ายจีนเพิ่มในประเด็นซินเจียงซ้ำอย่างไร้หลักฐาน ที่สำคัญขณะที่ยืนยันเสียงแข็ง โลกต่างรับรู้ว่า สหรัฐฯได้ดำเนินการจัดตั้งกลุ่มต่อต้านจีนอย่างเปิดเผย ทั้งกลุ่มพันธมิตรควอท(QUAD) และล่าสุดกลุ่มพันธมิตรไตรพาคี “ออคุส:AUKUS”

President Joe Biden addresses the 76th Session of the United Nations General Assembly at the U.N. headquarters in New York on Sept. 21, 2021. (Doug Mills/The New York Times)

สำนักข่าว CGTN ได้เผยแพร่บทความของ แอนดริว คอริโค (Andrew Korybko) นักวิเคราะห์การเมืองชาวอเมริกันในมอสโก เขียนบทความสะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ซึ่งการประชุมครั้งนี้สหรัฐฯสมควรได้รับการยกย่อง ในการอุทิศให้กับความพยายามร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโควิด-19 แต่น่าเสียดายที่เขาทำเสียหมด ด้วยการโกหกทุกคน เมื่อปธน.ไบเดนกล่าวว่าสหรัฐฯ ไม่ต้องการสงครามเย็นครั้งใหม่ ความจริงก็คือ สหรัฐฯ อยู่ในสงครามเย็นครั้งใหม่กับจีนเรียบร้อยแล้ว โดยมีลักษณะเฉพาะด้วยการสู้รบแบบผสมผสานที่เข้มข้นเพื่อต่อต้านจีน และทั้งโลกต่างทราบถึงข้อเท็จจริงนี้กันอย่างกว้างขวาง

ไบเดน อ้างว่าสหรัฐฯ จะร่วมมือกับประเทศใดๆ ก็ตามที่มีเจตนารมณ์อย่างสันติตามความคิดเห็นและมุมมองของอเมริกา แต่นั่นไม่เป็นความจริงเมื่อพูดถึงจีน เขาไม่เพียงแต่พยายามที่จะสกัดกั้นประเทศจีนด้วยวิธีการที่หลากหลาย ตั้งแต่ด้านเศรษฐกิจไปจนถึงการทหาร และแม้กระทั่งการให้ข้อมูลเท็จ นอกจากนี้ผู้นำสหรัฐฯยังเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของจีนกรณีฮ่องกง-ไต้หวันอีกด้วย

หลักฐานที่ชัดเจนว่าเขาใช้ประโยชน์จากเวทีระดับโลกเพื่อโจมตีจีน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อถึงมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายและการทำลายล้างในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ไบเดนกล่าวว่า มี “การกดขี่ชนกลุ่มน้อย” นอกจากนี้ เขายังพาดพิงถึงสองครั้งก่อนหน้านั้นในสุนทรพจน์ของเขา เมื่อเขาเตือนเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการปราบปรามกับชนกลุ่มน้อย

แอนดริว คอริโค แสดงความเห็นว่าสหรัฐฯกล่าวหาจีนเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว โดยแต่ละครั้งไม่มีหลักฐานปรากฏให้เห็น อ้างจีนใช้ระบบเทคโนโลยีระดับโลกเพื่อกดขี่ชาวอุยกูร์ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย แม้จีนจะเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้าไปเรียนรู้ สหรัฐฯก็ไม่ยอมรับ แต่ได้กลายเรื่องพาดหัวในสื่อกระแสหลักชั้นนำ ของตะวันตก เป็นเรื่องเล่าที่ทำให้จีนเสื่อมเสียชื่อเสียง

แอนดริว กล่าวว่า ไบเดนยังเป็นคนหน้าซื่อใจคดอย่างมาก ที่กล่าวว่าอเมริกาไม่ต้องการแบ่งโลกออกเป็นกลุ่มที่แข่งขันกัน แต่นั่นคือสิ่งที่ทำกับ Quad หรือ Quadrilateral Security Dialogue และล่าสุด พันธมิตรใหม่ระหว่างสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ในนาม AUKUS

ไม่เพียงแค่นั้น แต่สหรัฐฯ กำลังกดดันให้พันธมิตรยุติความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงโครงการด้านเทคโนโลยี เช่น เครือข่าย 5G และข้อตกลงทางการค้าและการลงทุน 

นอกจากนี้ เขาได้เปิดตัวโครงการ “สร้างโลกที่ดีกว่า” (Build Back Better World:B3W) ของเขาในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ และบอกเป็นนัยถึงทางเลือกที่แข่งขันกับ โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน แม้ว่าเขาจะไม่ได้โจมตี BRI โดยตรงก็ตาม

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาบอกเป็นนัยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้เพราะมันบ่งบอกถึงการทวีความรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนของสงครามลูกผสมระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

ผู้นำสหรัฐฯกล่าวอย่างชัดเจนว่า เขาเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของสหรัฐฯในการตอบสนองต่อการเรียกร้องของผู้ประท้วงต่อต้านการทุจริตทั่วโลก เขาให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนผู้ประท้วงต่อต้านการทุจริตเสมอ และถือว่าพวกเขาเป็นพันธมิตร

เขาสรุปคำปราศรัยของเขาด้วยการกล่าวย้ำคำขวัญนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯว่า ภารกิจแห่งการแข่งขันกันระหว่าง “ประชาธิปไตย” และ “เผด็จการ” ทั่วโลก

คำโกหกของไบเดนที่ว่าไม่ต้องการปลุกสงครามเย็นครั้งใหม่ มีขึ้นเพื่อปกปิดสงครามไฮบริดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และเนื้อแท้มีจุดมุ่งหมายนำ โครงการ B3W เพื่อแทนที่ BRIของจีน   สหรัฐฯ ตั้งใจที่จะบีบบังคับจีนและพันธมิตรทางการเมือง ด้วยข้ออ้างเรื่องการต่อต้านการทุจริตและข้ออ้างด้านมนุษยธรรมที่แพร่กระจายผ่านสงครามข้อมูลข่าวสาร เพื่อดึงเอาสัมปทานทางเศรษฐกิจ การทหาร และยุทธศาสตร์ออกมามอบให้สหรัฐ  นี่คือสงครามเย็นครั้งใหม่ในระดับพื้นฐานที่สุดที่โลกไม่อาจปฏิเสธได้