โอเปกคาดว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้าเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นในประเทศต่างๆ การเดินทางเริ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 13 ก.ย.25 64 สำนักข่าว The New Arab รายงานระบุว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC :Organization of the Petroleum Exporting Countries) คาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราการฉีดวัดซีนที่เพิ่มสูงขึ้นและการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเดินทางที่เพิ่มขึ้น
โดยความต้องการใช้น้ำมันเฉลี่ยในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3.28 ล้านบาร์เรลต่อวัน(mbd) และทำให้ความต้องการน้ำมันทั่วโลกอยู่ที่ 100.83 mbd โดยเฉลี่ยในปีหน้า ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาด
ซึ่งขณะนี้ประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อิรัก อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย กำลังเริ่มเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้น หลังจากช่วงการแพร่ระบาดรุนแรงทำให้ต้องลดกำลังการผลิตเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ
ประเทศในกลุ่มโอเปกพลัส(OPEC+) ได้ลดการผลิตลงเมื่อปีที่แล้วเพื่อกระตุ้นราคา ซึ่งร่วงลงในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักด้วยมาตรการล็อกดาวน์
รายงานที่อ้างแหล่งข่าวระบุว่า ผลผลิตของโอเปกเพิ่มขึ้น 151,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงเดือนสิงหาคม แตะระดับ 26.76 mbd ผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิรัก ได้ขยายการผลิต ขณะที่โรงงานในไนจีเรียมีการผลิตลดลง
ในสภาวะแวดล้อมที่หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศผู้บริโภคน้ำมันสำคัญอย่างสหรัฐ คลายล็อกดาวน์ เริ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เริ่มการท่องเที่ยว ความต้องการน้ำมันโลกจะทวีเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
ผลลัพธ์ก็คือ ราคาน้ำมันอาจจะพุ่งกระฉูด จนอาจกลายเป็นปัจจัยทำลายการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของทุกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา
“เฮลิมา ครอฟท์” นักยุทธศาสตร์สินค้าโภคภัณฑ์ของอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เก็ต ชี้ว่า ราคาน้ำมันจะมี “เสถียรภาพ” อยู่ในระดับ 70-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถ้าหากโอเปกตกลงกันได้ แต่ถ้าไม่ ก็เป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นราคาน้ำมันกระฉูดขึ้นไปเกินกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในเร็ววันนี้
