บิ๊กตู่สั่งเร่งใช้งบฯ!?!กระตุ้นเศรษฐกิจขยาย เตรียมรับหนี้ชนเพดาน 9ล้านล.

1279

นายกรัฐมนตรีลั่นเดินหน้าไทยเข้มแข็ง สั่งทุกหน่วยงานราชการ-รัฐวิสาหกิจเร่งทำงานและเบิกจ่ายงบประมาณเต็มวงเงิน เป็นแรงสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  ชี้ยามนี้ภาครัฐเป็นกำลังหลักกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะกระทรวงการคลังเปิดตัวเลขหนี้ใกล้แตะ 9 ล้านล้านบาท จ่อเต็มเพดาน 60%ต้นปีหน้า เตรียมมาตรการทางการเงินการคลังรับมือ พร้อมเพิ่มช่องทางรายได้ของประเทศ

วันที่ 12 ก.ย. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ในระหว่างลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ถึงการผลักดันโครงการไทยเข้มแข็ง ว่าโครงการดังกล่าวเป็นระดับนโยบาย ถ้านโยบายยังมีอยู่ก็ดำเนินต่อ โดยต้องรู้ว่ามีข้อติดขัดตรงไหน และจะเดินหน้าต่ออย่างไร ส่วนงบประมาณดำเนินงานมีอยู่แล้ว ให้เร่งรัดดำเนินงานและเบิกจ่ายให้ครบตามกรอบเวลา

ด้านน.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  เดือนก.ย. เป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มีข้อสั่งการทั้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) และในที่ประชุมคณะกรรมการชุดต่างๆ ให้ทุกหน่วยรับงบประมาณทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด

“ในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 งบประมาณภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ และขณะนี้เป็นช่วงท้ายปีงบประมาณนายกรัฐมนตรีจึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งการเบิกจ่าย ทั้งส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง งบจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติและทำสัญญาผูกพันไปแล้ว เพื่อให้งบประมาณเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจมากที่สุด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  ในส่วนของงบประมาณภายใต้ พ.ร.ก. เงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ฉบับแรก วงเงิน 1 ล้านล้านบาท  ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2564 มีการอนุมัติแล้วใน 269 โครงการ วงเงินรวม 996,008 ล้านบาท หรือร้อยละ 99.60 คงเหลือ 3,991.06 ล้านบาท

มีการเบิกจ่ายแล้ว 841,307 ล้านบาท หรือร้อยละ 84.47ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติแยกเป็นการเบิกจ่ายใน 

1)เบิกจ่ายตามแผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข กรอบวงเงิน 63,898 ล้านบาท จำนวน 51 โครงการ 38,069 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 59.58 

2)เบิกจ่ายตามแผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกรและผู้ประกอบการ กรอบวงเงิน 708,197 ล้านบาท จำนวน 20 โครงการ 684,411 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 96.64 และ 3)แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม  กรอบวงเงิน 227,905 ล้านบาท จำนวน 225 โครงการ 118,827 ล้านบาท หรือร้อยละ 53.07

น.ส.ไตรศุลี กล่าวเพิ่มเติมว่า

“การประชุมครม.เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2564 ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข กำกับติดตามหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. ให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตาม พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ หากในกรณีที่เห็นว่าไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้เร่งจัดทำรายงาน ปัญหาและอุปสรรคเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ทราบต่อไป”

ขณะที่เว็บไซต์สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้เผยแพร่รายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ค.2564 พบว่ามียอดหนี้ 8,909,063.78ล้านบาท หรือคิดเป็น 55.59% ของจีดีพี ใกล้ระดับเพดานความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60% โดยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 8.3 หมื่นล้านบาท โดยยอดหนี้สาธารณะเดือน มิ.ย.2564 อยู่ที่ 8,825,097.81 ล้านบาท หรือ 55.20% ของจีดีพี 

สำหรับหนี้สาธารณะเดือน ก.ค.2564 ที่เพิ่มสูงขึ้นมาจากการกู้โดยตรงของรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ โดยหนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7,836,723.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือน มิ.ย.2564 ที่ 7,760,488.76 ล้านบาท ในส่วนนี้เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 7,071,423.29 ล้านบาท เป็นการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก.โควิด-19 จำนวน 817,726.05 ล้านบาท และเป็นการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีกด้วย 

ด้านรมต.กระทรวงการคลังตอบรับ เร่งการเบิกจ่ายส่วนราชการ-รัฐวิสาหกิจ คาดว่าทำได้เกิน 90% ของวงเงินรวม หวังกระตุ้นเศรษฐกิจโค้งสุดท้าย ยืนยันชัดเจน แนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากการส่งออกและการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การเบิกจ่ายที่ผ่านมาทำได้ดี ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงท้ายปี  ประกอบกับ ภาคการส่งออกที่ยังมีอัตราขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และการบริโภคภายในประเทศที่กลับมาคึกคัก ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจไทย

“การบริโภคภายในประเทศเริ่มกลับมาคึกคัก เนื่องจาก รัฐบาลมีการคลาย ล็อกดาวน์ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เห็นได้จากในช่วง 5-6 วันที่ผ่านมา ผู้บริโภคเริ่มออกไปเดินห้าง นั่งรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีการคลายล็อกดาวน์ในขั้นถัดไป ก็มองว่า จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศฟื้นกลับมาแน่นอน”

ส่วนกระทรวงการคลังจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศหรือไม่นั้น นายอาคม ตอบว่า จะต้องรอเวลาที่เหมาะสม เพราะขณะนี้ รัฐบาลก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ เช่น คนละครึ่ง ยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นต้น ที่กำลังดำเนินอยู่จนถึงสิ้นปี 2564 และในอีก 20 วันข้างหน้า หรือ วันที่ 1 ต.ค.2564 โครงการคนละครึ่งก็จะมีเม็ดเงินงวดใหม่เข้าอีกคนละ 1,500 บาท

ด้านน.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่า สำหรับโครงการคนละครึ่ง ล่าสุด มียอดใช้จ่ายรวม 64,112 ล้านบาท จากผู้ใช้สิทธิ 26.86  ล้านคน ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มียอดใช้จ่ายรวม 1,919 ล้านบาท จากผู้ใช้สิทธิ์มากกว่า 470,766 คน