ย้อนคำ ธรรมนัส “เส้นเลือดใหญ่รบ.” ผู้กุมความลับไว้คนเดียว กับคำพูด“นายให้มาเป็นรมต.”

1839

จากที่เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ได้ปรากฏรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล สำหรับบรรยากาศช่วงหนึ่งก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้น

ทั้งนี้รายงานข่าวระบุบางช่วงว่า ระหว่างที่รัฐมนตรีแต่ละคนทยอยเข้าประจำที่นั่งภายในห้องประชุม ตึกสันติไมตรี หลังนอก ปรากฏว่าพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งใจเดินผ่านที่นั่งของรัฐมนตรี ซึ่งมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำลังพูดคุยกับร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยเมื่อทั้งสองเห็นพล.อ.ประยุทธ์เดินมา จึงยกมือไหว้ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ รับไหว้นายสาธิต แต่เดินผ่าน ร.อ.ธรรมนัส ไปไม่มีแม้แต่หันมามอง ทำให้ร.อ.ธรรมนัส มีสีหน้าเจื่อนๆ

ต่อมาพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินผ่านบริเวณนั้นเช่นกัน โดยพล.อ.อนุพงษ์ ทักทายพูดคุยกับนายสาธิต ก่อนจะหันมาทาง ร.อ.ธรรมนัส ที่ยกมือไหว้ ซึ่งพล.อ.อนุพงษ์ มีสีหน้านิ่งเฉย ก่อนใช้มือขวาแตะสัมผัสปลายมือของ ร.อ.ธรรมนัสเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้มีกระแสข่าวแพร่สะพัด ร.อ.ธรรมนัส เป็นแกนนำเคลื่อนไหวโหวตคว่ำ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่นายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งร.อ.ธรรมนัส และพลเอกอนุพงษ์ ได้นัดเคลียร์ใจกันที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ

กระนั้นเองที่ทีมข่าวเดอะทรูธ ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า หากเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้น อาจมองได้ว่า เกิดความบาดหมางใจกันจริงๆแล้ว ระหว่างกลุ่มพี่น้อง 3ป. โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส และเหตุการณ์นี้ก็พาย้อนกลับไปในวันที่ ผู้กองธรรมนัส เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ถึงกับประกาศความเป็นคนสำคัญของรัฐบาล ซึ่งเมื่อมาถึงวันนี้ ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาแล้วว่า ใครกันแน่คือคนสำคัญ และรัฐบาลนี้จะขาดไม่ได้!?!

ดังนั้นทีมข่าวเดอะทรูธ จะย้อนไปในวันที่ ผู้กองธรรมนัส แถลงเปิดใจช่วงหนึ่งที่มีนัยยะอย่างน่าสนใจบางช่วง ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2562

โดยร.อ.ธรรมนัส กล่าวถึงการได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเริ่มที่เรื่องคดีออสเตรเลียระบุสื่อมวลชนได้รับทราบข้อมูลจากสื่ออวตารที่พยายามโจมตี จึงเป็นเรื่องโอละพ่อ เป็นตราบาปที่ไม่เคยพูดมาตลอด 30 ปี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประมาณปี 2535 หรือ 2536 มีบางคนโดยเฉพาะสื่ออวตารโจมตีว่าผมต้องกลับมารับโทษในประเทศไทย มันคนละเรื่องกัน

“ตัวเองทราบหมดแล้วว่า ใครอยู่เบื้องหลังความพยายามที่จะล้มผมให้ได้ เพราะสื่อมวลชนเองก็ทราบดีว่าผมเป็นกำลังหลักในการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ โดยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและประสานงาน หากล้มผมได้รัฐบาลก็สั่นคลอน เพราะในหลาย ๆ พรรค ในหลาย ๆส่วนที่ผมประสานไว้ ถือเป็นความลับที่ตัวเองรู้เพียงคนเดียว โดยต้องปล่อยให้กฎหมายบ้านเมืองจัดการต่อไป ยืนยันคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่คนในพรรคพลังประชารัฐ เขารู้ว่าผมเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่จะเอาเลือดไปหล่อเลี้ยงในหัวใจของรัฐบาล จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อล้มผม”

นอกจากนี้ ร.อ.ธรรมนัส ยังกล่าวอีกว่า ไม่จำเป็นต้องรับตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งใด ๆ เพราะหลังจากประสบความสำเร็จทางธุรกิจก็ทำงานเพื่อสังคมมาตลอด แต่ชาวพะเยาให้ความไว้วางใจ และตนในฐานะประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือของพรรคก็ได้รับปากประชาชนไว้มากมาย และ 17 จังหวัดภาคเหนือก็กาคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐอย่างล้นหลาม ได้ ส.ส.เขต 25 ที่นั่ง แต่เมื่อนายให้มาเป็นเราก็จะต้องทำให้ดีที่สุด และตระหนักให้หน้าที่ตัวเองที่จะต้องทำอะไรให้สังคมต่อไป

เช่นนั้นเองจะเห็นว่าท่าทีการแถลงของผู้กองธรรมนัส ชัดเจนว่า มีส่วนสำคัญต่อรัฐบาลอย่างยิ่ง แต่เมื่อมาฟังพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่อาคารรัฐสภา ที่ช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่ากับ ร.อ.ธรรมนัส ยังมีความกังวลใจอะไรกันอีกหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า

“ผมไม่เคยมีประเด็นอะไรกับเขา เพราะผมเป็นคนให้เขาเข้ามาทำงานเอง แล้วผมจะไปมีอะไรกับเขาล่ะ ผู้ใหญ่จะไปมีปัญหากับเด็กได้อย่างไร ผมไม่ได้พูดเฉพาะถึงแค่รายนี้”

เมื่อถามว่า แต่ถ้าเด็กมีปัญหา ผู้ใหญ่จะแก้ปัญหาอย่างไร นายกฯกล่าวว่า เดี๋ยวตนแก้เอง ถ้ามันจริงนะ ถามต่อการที่พูดว่า ต่อไปเด็กควรต้องฟังผู้ใหญ่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า

“หรือผู้ใหญ่จะต้องเชื่อฟังเด็กเหรอ ต้องรับฟังซึ่งกันและกัน แต่ผู้ใหญ่ก็คือผู้ใหญ่ เข้าใจหรือไม่ ผมเป็นใคร ผมเป็นนายกฯ แล้วนายกฯต้องไปฟังใครที่มันไม่ใช่ ถ้าเรื่องจริงผมฟัง แต่ถ้าเรื่องผลประโยชน์หรือเรื่องต่างๆผมไม่ฟัง และผมยังไม่เห็นมีใครมาพูดกับผมในเรื่องนี้ แต่ก็มีปล่อยข่าวตรงนั้นตรงนี้มา และตัวเลขที่ออกมานั้นเป็นตัวเลขที่ผมเคยได้ยินแล้วว่าจะมาตีและมาจากอีกฝ่ายด้วย”