“วิสาร” หน้าซีด “เรืองไกร” ชงปปช. ไต่สวน กล่าวหาบิ๊กตู่จ่าย 5 ล้าน ขัดหลักจริยธรรมส.ส.

1667

หลังจากที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “ผมขอโอกาสนี้ประกาศไปถึงทั่วโลกว่า ณ ขณะนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จ่ายเงินให้ ส.ส. 5 ล้านบาท อยู่ที่ห้องทำงานชั้น 3

การกระทำอย่างนี้อุกอาจมาก ทุจริต ต้องการอยู่ในตำแหน่งถึงขนาดนี้หรือครับ ส.ส. ไปรับเงินที่ห้องนายกฯ 5 ล้านบาท ตอนนี้เลยครับ เป็นไปได้อย่างไรประเทศไทย จะอยู่กับความตายของพี่น้องประชาชนอย่างนี้หรือ ลงเถอะครับ หน้าไม่อาย วิญญาณทั้งหลายจะต้องสาปแช่งท่าน”

 

จนต่อทางด้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตอบโต้ ชี้แจงกลับว่า ตนไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน ไม่มีการแจกถุงขนม และยืนยันว่าที่ส.ส.มาหาตนนั้น ก็เข้ามาไหว้ ทักทายตามปกติ ส่วนจะมีการแจ้งความหรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้คุยกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภา ก็ขอให้ท่านว่ามีอะไรหรือไม่ แต่นายชวนบอกแล้วว่ามันมีกล้องอยู่แล้ว มันไม่มีใครไปทำอะไร มันทำไม่ได้ และต่อมานายกฯ ได้มอบฝ่ายกฎหมายแจ้งความเอาผิดนายวิสาร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่กล่าวหาว่า แจกเงินส.ส. คนละ 5 ล้านบาทระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ล่าสุดทางด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่าตามที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวหาในลักษณะยืนยันข้อเท็จจริงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จ่ายเงินให้ ส.ส. หัวละ 5 ล้านบาท ที่อาคารรัฐสภา ชั้น 3 เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมานั้น คำกล่าวหาดังกล่าว พูดถึงการกระทำที่เกิดขึ้นนอกห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร แม้ผู้พูดจะอยู่ในห้องประชุม แต่น่าจะไม่ได้รับความคุ้มครองรัฐธรรมนูญ มาตรา 124 วรรคหนึ่ง เพราะอาจเป็นการพูดใส่ร้ายที่ขัดต่อข้อบังคับการประชุม ข้อ 69 วรรคสอง

ตามมาตรฐานทางจริยธรรม ที่ใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีข้อกำหนดไว้หลายข้อ ซึ่งหากมีข้อเท็จจริงตามที่นายวิสาร กล่าวหา เรื่องนี้จะเป็นความผิดทางอาญาตามมาได้ ทั้งตัวนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหาว่าให้เงิน และตัว ส.ส. ที่ถูกกล่าวหาว่ารับเงิน คนละ 5 ล้านบาท

“ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะพูดโดยไม่รับผิดชอบ โดยอ้างเอกสิทธิ์ หาได้ไม่ เพราะกระทบความน่าเชื่อถือทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงตามมาได้ เรื่องนี้ย่อมมีผลกระทบและเสียหายมาก หากไม่มีการไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริง ซึ่งแม้แต่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังต้องรีบตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบข้อกล่าวหาของนายวิสาร”

หากพิจารณาคำกล่าวหาของนายวิสาร แล้ว จะเห็นได้ว่า องค์กรที่มีหน้าที่และอำนาจไต่สวนเรื่องนี้ คือ ป.ป.ช. เพราะคำกล่าวหาดังกล่าว มีทั้ง พรป.ปปช. และมาตรฐานทางจริยธรรม เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ในเบื้องต้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างน้อย 3 ข้อ คือ

1. หากคำกล่าวหาของนายวิสาร ไม่เป็นความจริง มีการบิดเบือน ใส่ร้าย อาจผิดมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 15 และหาก ป.ป.ช. เห็นว่า เป็นกรณีร้ายแรง ย่อมชี้มูลความผิด และส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผูดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาพิพากษาได้

2. หากนายกรัฐมนตรีมีการจ่ายเงินให้ ส.ส. คนละ 5 ล้านบาท จริง ก็อาจเข้าข่ายผิดมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 17 ซึ่งควรเป็นเรื่องร้ายแรง ป.ป.ช. ก็ต้องชี้มูล และส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิจารณาพิพากษาได้เช่นกัน

3. หากมี ส.ส. รับเงินคนละ 5 ล้านบาท จากนายกรัฐมนตรี จริง ส.ส. ก็อาจจะผิดมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 9 และถือเป็นเรื่องร้ายแรงทันที ป.ป.ช. ต้องชี้มูลและส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิพากษาเช่นกัน

เรื่องนี้จึงมีความสำคัญ ที่ ป.ป.ช. ต้องรีบเข้ามาไต่สวนตามหน้าที่และอำนาจโดยเร็ว ซึ่งตาม พรป.ปปช. มาตรา 46 วรรคหนึ่ง ป.ป.ช. ต้องไต่สวนต้นเรื่อง คือนายวิสาร ก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความจริงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อนายกรัฐมนตรี หรือ ส.ส. ที่ถูกกล่าวหา หากไม่มีมูลความจริง และเป็นการใส่ร้าย บิดเบือน ก็ควรดำเนินการกับนายวิสาร ตามมาตรฐานทางจริยธรรมต่อไป แต่หากมีมูล ก็ต้องดำเนินการกับนายกรัฐมนตรี และ ส.ส. ที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรฐานทางจริยธรรม และดำเนินการทางอาญาด้วย และด้วยเหตุและผลที่กล่าวมาข้างต้น จึงจำเป็นต้องร้องให้ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริงจาก นายวิสาร ก่อนเป็นลำดับแรก ตนจึงจะส่งหนังสือถึง ป.ป.ช. ในเช้าวันที่ 6 ก.ย.นี้ ทางไปรษณีย์ EMS