เมกาเทสมุนอัฟกันเห็นๆ!?!ขายระบบยืนยันตัวตนไบโอเมทริกส์ พร้อมส่งรายชื่อผู้อพยพให้ตาลิบัน แลกกับอะไร??

1417

Blinken ปฏิเสธการให้รายชื่อของชาวอเมริกันและพันธมิตรอัฟกันต่อตอลิบัน แต่ปธน.ไบเดนกลับบอกว่าสหรัฐฯ ได้ส่งรายชื่อคนมะกันและผู้อพยพให้ตาลิบันแล้ว เพื่ออพยพให้ทันเส้นตาย ขณะที่ตาลิบันยืนยันไม่ขยายเวลาเส้นตาย แต่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯไม่บอกสื่อว่าได้ขายระบบไบโอเมทริกส์ที่สหรัฐฯใช้ยืนยันตัวตนชาวอัฟกันว่าได้รับการรับรอง ตลอดช่วงเวลาครองอำนาจอยู่หลังรัฐบาลหุ่น 20 ปี นี่อาจเป็นสาเหตุที่จลาจลในสนามบินคาบูล เพราะชาวอัฟกันที่เคยทำงานรับใช้สหรัฐสุดลิ่มรู้ดีว่า หลังสหรัฐและตะวันตกจากไปมีสิทธิ์โดนเช็คบิลย้อนหลังฐานทรยศชาติ

วันที่ 29 ส.ค.2564 แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พยายามแก้เกี้ยวรายงานที่รัฐบาลไบเดนให้รายชื่อชาวอเมริกันและพันธมิตรในอัฟกานิสถานแก่กลุ่มตาลิบัน แต่บอกว่าส่งรายชื่อผู้อพยพจริงเพื่อให้ผ่านด่านตรวจก่อนขึ้นสนามบิน 

พิธีกรของข่าวเอ็นบีซี ชัค ทอดด์ (Chuck Todd) ถามเมื่อวันอาทิตย์ว่าฝ่ายบริหารจะแน่ใจได้อย่างไรว่ารายชื่อบุคคลที่ต้องการออกจากอัฟกานิสถานจะไม่ถูกใช้ด้วยเหตุผลที่น่ากลัว บลิงเคนกล่าวว่า“ข้อมูลผู้อพยพถูกส่งไปยังกลุ่มตอลิบานแล้วจริง แต่เพราะ เราพยายามจะช่วยพวกเขาออกจากประเทศนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ผิด” 

คำถามต่อมาคือสหรัฐแชร์อะไรไปบ้าง  รัฐมนตรีต่างประเทศตอบว่า “เป็นแค่บางส่วน แต่ฝ่ายบริหารได้ให้กลุ่มตอลิบานเฉพาะเอกสารสำหรับผู้โดยสารจำนวนมากที่ต้องผ่านด่านตรวจไปยังสนามบินคาบูลเพื่ออพยพ

“เมื่อคุณพยายามจะขึ้นรถบัสหรือเดินทางโดยรถยนต์เพื่อไปขึ่นเครื่อง คุณต้องแสดงรายการเพื่อทำเช่นนั้นได้  โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้คนไม่มีข้อมูลประจำตัวที่จำเป็นในพวกเขาหรือเอกสารอนุญาตที่เป็นทางการเกี่ยวกับพวกเขา – จากนั้นคุณ จำเป็นต้องเปิดเผยรายชื่อคนบนรถบัสนั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนเหล่านั้นคือคนที่เราต้องการจะนำเข้ามา ซึ่งปัจจุบันนี้เราได้นำพลเมืองอเมริกัน 5,500 คนออกจากอัฟกานิสถานแล้ว”

ข้อเท็จจริงที่ว่า แทนที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะยืนกรานที่จะทำการตรวจสอบผู้โดยสารของตนเอง แต่กลับไว้วางใจให้กลุ่มตอลิบานเป็นคนตรวจ ทำไมจึงวางใจว่า ตาลิบันจะไม่นำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในทางที่ผิด และปล่อยให้ทุกคนที่วอชิงตันต้องการอพยพออกจากอัฟกานิสถาน ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าการปรากฏตัวดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อชาวอเมริกันและพันธมิตรอัฟกันซึ่งกลุ่มตอลิบานสามารถเลือกที่จะยึดไว้เป็นตัวประกันของการตอบโต้ในภายหลัง แต่บลิงเคนยืนยันว่า เป็นความคิดที่ผิด

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังพยายามแก้ต่างอ้อมแอ้มเรื่องนี้โดยบอกกับเจค แทปเปอร์ ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นว่าการรายงานดังกล่าว“ไม่มีมูลและไม่ถูกต้อง” 

ซัลลิแวนยืนยันว่าวอชิงตันมีอำนาจสำคัญที่จะต่อรองกลุ่มตอลิบัน ให้ทำตามคำมั่นสัญญาที่จะอนุญาตให้พลเมืองอเมริกันผ่านได้อย่างปลอดภัย ผู้อยู่อาศัยถาวรตามกฎหมาย และพันธมิตรอัฟกันที่มีเอกสารการเดินทางเดินทางมายังสหรัฐฯ เราจะใช้อำนาจดังกล่าวในขอบเขตสูงสุด และเราจะทำงานร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มตอลิบันจะไม่หักดิบกับข้อผูกมัดเหล่านี้

คำถามคืออำนาจอะไรที่วอชิงตันจะกดดันตอลิบันได้??แต่สถานการณ์กลับบ่งบอกว่า ตอลิบันมีอำนาจอะไรเหนือวอชิงตัน จึงสามารถแข็งขืนการต่อรองเส้นตายได้ต่างหาก

วุฒิสมาชิกสหรัฐเบน แซสส์ (Ben Sasse (R-Nebraska)จากเนบราสกา เรียกความคิดเห็นของ Blinken ว่า”น่าขยะแขยง” เขากล่าวว่า”โดยพื้นฐานแล้วแผนของพวกเขาเป็นการพูดคุยที่มีดูดีมีความสุข ผู้คนเสียชีวิตและผู้คนกำลังจะตาย  เพราะปธน.ไบเดนตัดสินใจใช้วิธีการบอกอย่างมีความสุขแทนที่จะพูดความเป็นจริง”

แซสส์ แย้งว่าฝ่ายบริหารไบเดน “จ้าง” กลุ่มตอลิบันในการรักษาความปลอดภัยนอกเขตไปยังสนามบินเพื่ออพพย  “พวกเขาได้เห็นรายชื่อพลเมืองอเมริกันและพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของอเมริกา – ผู้ที่ต่อสู้เคียงข้างเรา – พวกเขาส่งรายชื่อเหล่านั้นไปให้กลุ่มตอลิบันโดยพึ่งพาพวกเขา โดยคิดว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจได้”วุฒิสมาชิกกล่าวเกรี้ยวกราดว่า “ตอนนั้นมันโง่ ตอนนี้มันบ้าไปแล้ว” แล้วตอนนี้ฝ่ายบริหารของไบเดนจะทิ้งชาวอเมริกันและพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถอพยพได้ทันเวลามันน่าอับอาย

พฤติกรรมหน้าซื่อใจคดของสหรัฐล่อนจ้อนเมื่อเผ่นจากอาฟกาฯอย่างไม่มีแบบแผน อเมริกาทอดทิ้งสมุนบริวารรับใช้ที่ชะเงื้อมองเครื่องบินของตะวันตกอย่างชุลมุนวุ่นวาย พวกเขาอาจไม่รู้ว่า สหรัฐฯขายอุปกรณ์ไบโอเมทริกส์ของกองทัพสหรัฐฯให้กลุ่มตอลิบาน แต่ปล่อยข่าวว่าถูกยึดในการสู้รบ ระบบไบโอเมทริกส์สามารถช่วยในการระบุตัวชาวอัฟกันที่ช่วยกองกำลังพันธมิตร เจ้าหน้าที่ทหารทั้งในอดีตและปัจจุบัน และฝ่ายบริหารไบเดนได้ส่งรายชื่อคนมะกันและชาวอัฟกันที่ต้องการอพยพให้กับตอลิบันหมดแล้ว พวกเขาอาจรู้จึงตื่นตระหนกมากเมื่อใกล้เส้นตาย จะสังเกตุว่าความวุ่นวายเกิดขึ้นที่สนามบินคาบูลเป็นหลัก ประชาชนส่วนใหญ่กลับมาทำมาหากินกัน ที่ชายแดนก็ขายสินค้ากันคึกคัก

อุปกรณ์ดังกล่าวเรียกว่า HIIDE สำหรับอุปกรณ์ตรวจจับข้อมูลประจำตัวแบบใช้มือถือระหว่างหน่วยงาน ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่พวกเขามีอยู่จะถูกนำมาใช้ โดยกลุ่มตาลีบันอย่างแน่นอน อุปกรณ์ HIIDE ประกอบด้วยข้อมูลไบโอเมทริกส์ที่ระบุตัวตน เช่น การสแกนม่านตาและลายนิ้วมือ ตลอดจนข้อมูลชีวประวัติ และใช้เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลส่วนกลางขนาดใหญ่ ไม่ชัดเจนว่าฐานข้อมูลไบโอเมทริกซ์ของกองทัพสหรัฐฯ เกี่ยวกับประชากรอัฟกันถูกตรวจสอบไปแล้วมากน้อยเพียงใด

แหล่งข่าวระบุว่า ข้อมูลไบโอเมทริกส์ของชาวอัฟกันที่ให้ความช่วยเหลือสหรัฐฯ ถูกกองทัพสหรัฐฯ เรียกเก็บเงินด้วยเพื่อใช้ในการติดตามผู้ก่อการร้ายและผู้ก่อความไม่สงบอื่นๆ

“เราดำเนินการกับคนในท้องถิ่นหลายพันคนต่อวัน ต้องตรวจบัตรประชาชน กวาดเสื้อพลีชีพ อาวุธ การรวบรวมข่าวกรอง ฯลฯ” ผู้รับเหมาทหารสหรัฐอธิบาย “HIIDE ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ID ไบโอเมทริกส์เพื่อช่วยคนในท้องถิ่นมี ID ที่ทำงานให้กับพันธมิตร”

ข้อสงสัยที่ยังไม่มีคำตอบ ขณะที่สหรัฐและสื่อตะวันตก สร้างภาพว่าตอลิบัน เป็นผู้ผลิตเผยแพร่ยาเสพติดและเป็นผู้ครองอุปทานเฮโรอีนของโลก และสหรัฐอ้างการรุกรานอาฟกานิสถานครั้งที่ตอลิบันเป็นรัฐบาลว่า เพื่อปราบก่อการร้ายและยาเสพติด ผ่านมา 20 ปี ที่สหรัฐครองอำนาจ ทำไมยาเสพติดจึงแพร่กระจายพุ่งกว่า 40%

กลุ่มตอลิบันให้ทุนสนับสนุนการก่อความไม่สงบต่อกองทหารนาโตด้วยการค้าฝิ่นอย่างผิดกฎหมาย แต่ตอนนี้ ตอลิบานต้องการกำจัดการเพาะปลูกฝิ่นและต้องการความช่วยเหลือจากนานาชาติในการทำเช่นนั้น 

 

ซาบีฮุลเลาะห์ มูจาฮิด ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีสารสนเทศในรัฐบาลกลุ่มตอลิบัน กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียว่า “ชาวอัฟกัน 3 ล้านคนติดยา นี่เป็นหายนะ”เราต้องการความช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นด้วยพืชชนิดอื่น”

ชาวอัฟกันปลูกฝิ่นเพื่อบริโภคภายในประเทศมานานหลายศตวรรษ แต่กลับกลายเป็นแหล่งยาผิดกฎหมายชั้นนำของโลกในช่วงทศวรรษสุดท้ายของสงครามเย็น โรงงานแห่งนี้ ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยซึ่งครอบงำหลายส่วนของประเทศ กลายเป็นแหล่งรายได้หลักสำหรับกองทหารอาสาสมัครที่สหรัฐหนุนหลัง ซึ่งต่อสู้กับกองทหารโซเวียตในทศวรรษ 1980

อุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวซึ่งผลิตฝิ่นและเฮโรอีนในอัฟกานิสถานได้เฟื่องฟูตั้งแต่นั้นมา ตลอดการถอนตัวของสหภาพโซเวียต สงครามกลางเมือง และการมีอยู่ของนาโต้สองทศวรรษ มีข้อยกเว้นเกิดขึ้นในปี 2544 เมื่อรัฐบาลตอลิบานในกรุงคาบูลเริ่มปราบปรามการปลูกฝิ่นในพื้นที่ที่ควบคุม

ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ทุจริตบางคนที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ มีส่วนในอุตสาหกรรมฝิ่น และในบางกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ชาวอเมริกัน เพื่อปราบผู้แสวงหากำไรจากยาที่เป็นคู่แข่งกันก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน รัสเซียได้บ่นมาหลายปีแล้วว่า NATO เพิกเฉยต่อปัญหายาเสพติด

ในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์อันน่าสลดใจของอาฟกานิสถานและสับสนวุ่นวายตลอด 40 ปีที่ผ่านมา สงครามกลางเมืองในทศวรรษ 90 และการยึดครองหลังปี 2544 ฝิ่นมีบทบาทสำคัญในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ ระบบนิเวศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของอัฟกานิสถาน ได้ผสานเข้ากับเทคโนโลยีทางการทหารของอเมริกาเพื่อเปลี่ยนประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลอันห่างไกลแห่งนี้ให้กลายเป็นรัฐยาเสพติดที่แท้จริงแห่งแรกของโลก เป็นประเทศที่ยาเสพติดครอบงำเศรษฐกิจ กำหนดทางเลือกทางการเมือง และกำหนดชะตากรรมของการแทรกแซงจากต่างประเทศ  วันนี้ตอลิบันประกาศจะล้างบางยาเสพติด เพราะอิสลามไม่สนับสนุนเหล้าและยาเสพติด

เวลาจะพิสูจน์ว่า ความจริงเบื้องหลัง อุตสาหกรรมฝิ่นโลก ที่แท้แล้วใครกันแน่อยู่เบื้องหลัง??