พระให้กำลังใจโจ้ สอนคนมีดี-เลว ชี้ดีกว่าพวกโกงชาติแล้วไม่ยอมรับผิด

2143

จากที่ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ อดีตผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ถูกควบคุมตัวพร้อมสารภาพถึงคดีโดยขอรับผิดเพียงคนเดียว ส่วนการเสียชีวิตของผู้ต้องหานั้นเป็นเพียงการพลั้งมือ ไม่ได้ตั้งใจ และสิ่งที่ทำไปก็เพื่อประชาชนนั้น???

ล่าสุดวันนี้ 27 สิงหาคม 2564  พระอานนท์ ธัมโชโต พระวัดภัทรสิทธาราม ได้เดินทางมาที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมกับอาหารจำนวนหนึ่ง โดยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนช่วงหนึ่งถึงกรณีผู้กำกับโจ้ว่า วันนี้ตั้งใจเดินทางมาให้กำลังใจอดีตผู้กำกับโจ้ หลังจากที่ติดตามข่าวมาตลอด รู้สึกประทับใจ เพราะอดีตผู้กำกับโจ้มีความเป็นลูกผู้ชาย และไม่เชื่อว่ามีการรีดไถเงิน 2 ล้านบาท ส่วนการซ้อมผู้ต้องหาหรือเอาถุงไปคลุมหัวผู้ต้องหามันอาจจะหนักมือไป เกิดความผิดพลาดจนถึงแก่ชีวิต

“โดยเฉพาะอดีตผู้กำกับจะว่าไม่ดี ก็ไม่ได้ดีเต็มร้อย เพราะคนเราเกิดมาไม่มีใครดีทั้งหมด และไม่ได้ชั่วทั้งหมด ส่วนท่านจะรวยอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของท่าน ที่พระอาจารย์มาเป็นกำลังใจให้ เพราะผู้กำกับกลับมามอบตัว และจากการที่ฟังสัมภาษณ์ของผู้กำกับเมื่อวานนี้ ผู้กำกับบอกว่าอยากจะฆ่าตัวตาย แต่เมื่อผู้ใหญ่บอกให้ท่านกลับมามอบตัว ผู้กำกับก็กลับมามอบตัวสู้คดี และบอกว่าลูกน้องไม่ผิด ตัวเองผิดเพียงคนเดียว เพราะเป็นคนสั่ง จะติดคุกตลอดชีวิตก็ยอม ทำให้รู้สึกว่าเจตนาจริงๆ แล้วของผู้กำกับไม่มีเจตนาจะให้ผู้ต้องหาตาย” พระอานนท์ กล่าว

ทั้งนี้เมื่อถามว่าการมาให้กำลังใจผู้ต้องหาวันนี้จะเป็นการสวนกระแสหรือไม่ พระอานนท์ ตอบว่าไม่ได้สนใจ ที่มาให้กำลังใจเพราะไม่อยากให้ผู้กำกับฆ่าตัวตาย ไม่อยากให้คิดมาก

นอกจากนี้ พระอานนท์ ยังกล่าวอีกว่า การทรมานผู้ต้องหาอาตมาไม่เห็นด้วย การทำผิดข้อกติกาอาตมาก็ไม่เห็นด้วย แต่ในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทำเพื่อประชาชน ปราบปรามยาเสพติด ปราบปรามอาชญากรรม มันเป็นหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ต้องทำ อยากให้ผู้กำกับมีกำลังใจ ในฐานะที่เกิดมาเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เกิดมาเป็นคนไทย เป็นลูกหลานไทย และทำหน้าที่เป็นตำรวจไทย ยังดีกว่าคนบางคนที่โกงชาติบ้านเมืองประชาชนแล้วไม่ยอมรับผิด

ขณะที่พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าคดี ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ว่า วันนี้จะมีการสอบสวนให้ได้ประเด็นครบทุกปาก โดยเฉพาะเรื่องพฤติการณ์ของผู้ต้องหาว่าให้การขัดแย้งกับคลิปที่ปรากฎอยู่หรือไม่ โดยจะยึดจากคลิปเป็นหลักไว้ก่อนว่ามีใครร่วมกันกระทำผิดบ้าง แล้วพฤติการณ์กระทำผิดก็ต่างกรรมต่างวาระกัน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและไม่ให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย และหลังจากนี้จะมีการโอนสำนวนคดีไปส่วนกลาง ทั้งนี้หลังจากการดำเนินคดี ม.157 แล้วก็จะส่งไปยังศาลทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หรือของภาค6

ส่วนกรณีที่เมื่อวานนี้ ระหว่างแถลงข่าวว่า ตนเองได้ตัดบทในระหว่างการสัมภาษณ์ เป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือไม่นั้น  รอง ผบ.ตร. ระบุเพียงว่า เช่นนั้นแล้วคุณจะให้สื่อเป็นศาลเตี้ยใช่หรือไม่ สื่อคือศาลหรือ และเมื่อให้การไปแล้ว ตกลงต้องขึ้นศาลหรือไม่ แล้วแต่ความคิดของประชาชน ไปห้ามไม่ได้  พร้อมระบุว่า การยึดถือหลักการข้อกฎหมาย เป็นเรื่องสำคัญ