จากเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 บก.ลายจุด หรือ สมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มคาร์ม็อบ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กนัดหมายการเคลื่อนไหวคาร์ม็อบในวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคมนั้น
ทั้งนี้โดยนายสมบัติ ระบุว่า “วิธีการของ Car Mob เป็นการสร้างแนวร่วม หลังคนวิจารณ์ว่าขับรถเล่นจะไปส่งผลต่อรัฐบาลประยุทธได้อย่างไร ความจริงคือ การที่จะส่งแรงกระแทกไปที่รัฐบาลได้จะต้องมีแนวร่วมอย่างกว้างขวางก่อน ถึงจะออกแบบกิจกรรมที่สร้างแรงกดดันได้
ดังนั้นในทุกกิจกรรมของ Car Mob คือออกแบบในการยกกำลังสร้างแนวร่วม และขยายออกไปให้กว้างขวางที่สุด ซึ่งภาพแนวร่วมขนาดใหญ่กำลังจะก่อตัวขึ้นในกิจกรรมต่อยอดอย่าง Carpark ซึ่งจะกลายเป็นรูปแบบม็อบประจำวันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เรียบง่ายและทรงพลัง
อย่าติดกับดักความรุนแรง นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปสู่เป้าหมาย ต่อให้มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ยังไม่นับเป็นเป้าหมายอยู่ดี ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการขับไล่ทรราชอย่างพลเอกประยุทธ์
ขอให้มิตรสหายอดทนอดกลั้น อยู่บนขบวนการต่อสู้ในแบบที่แม้แต่รัฐก็ยังนึกไม่ออกและตามไม่ทัน เล่นในเกมที่เรากำหนด อย่าเล่นในเกมที่เขากำหนดและได้เปรียบ 15 ส.ค. 64 ผมจะไปตั้งขบวนที่อยุธยา เดินทางพร้อมมิตรสหายเข้าสู่กรุงเทพด้านเหนือมุ่งสู่วิภาวดีรังสิต”
ล่าสุดวันนี้ 13 สิงหาคม 2564 บก.ลายจุด ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กถึงกรณีการจัดกิจกรรม และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมาอีกครั้งว่า
“ถ้ากลัวก็ถอยออกไป #สามเหลี่ยมดินแดง
ช่วงที่ทหารสลายการชุมนุมปี 53 มีประชาชนโดนยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ผมเป็นคนไปตั้งเวทีย่อยที่เวทีสามเหลี่ยมดินแดง ระหว่างที่ปราศรัยบนรถหกล้อ ผมเห็นคนโดนยิงโดนแบกออกมาเป็นระยะ เกือบทุกครั้งผมมองขึ้นไปบนตึกสูง ถามตัวเองว่าจะโดนสไนเปอร์ยิงมาจากด้านบนที่ใดที่หนึ่งหรือเปล่า
#หลังยุติการชุมนุมปี 53 หนึ่งวัน ผมนัดชุมนุมต่อที่ใต้ด่วนรามอินทรา สุดท้ายโดนทหารตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์ถือปืนยาวมาสลายการชุมนุม แต่ก็วิ่งหนีมาได้
#ผูกผ้าแดง คนไทยเวลานั้นแทบไม่มีใครสวมเสื้อสีแดง แม้กระทั่งคนเสื้อแดง วันหนึ่งผมตัดสินใจไปผูกผ้าแดงที่ป้ายราชสงค์คนเดียว ผมยืนอยู่บน Skywalk มองมาข้างล่างมีตำรวจอยู่สิบกว่าคน ผมตัดสินใจเดินไปผูกผ้าที่ป้าย ตำรวจเข้ามาประชิดตัว ผมบอกว่าขอผมถูกผ้าเสร็จก่อนแล้วผมยินดีให้โดนจับ ผมขอบคุณตำรวจคนนั้นมากที่ยอมรับเงื่อนไขของผม
#หลังรัฐประหาร ตำรวจและทหารประมาณ 20 คนบุกเข้าไปที่บ้านพัก เอาปืนส่องมาที่หัวผมเกือบทุกคนตอนผมเปิดประตูห้องนอน
ที่เล่ามานี้ไม่ได้บอกว่าไม่กลัว แต่ถ้ามันจำเป็นหรือคิดว่าคุ้มค่าก็จะทำ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าทุกคนรู้สึกเช่นนี้ คำถามจึงไม่ได้อยู่ตรงที่กลัวหรือกล้าหรือเปล่า มันอยู่ตรงที่เราประเมินแล้วว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ นี่เฉพาะชีวิตของเราคนเดียว ไม่รวมชีวิตของผู้คนที่อยู่รอบตัวเราหรือมวลชนที่ตามเราออกมา ความรับผิดชอบเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้นำต้องแบกรับ
ดังนั้นเวลามีคนด่าผมว่าผมปอดแหก ขี้กลัว เป็นพวกโลกสวย เลี้ยงไข้ ผมขอใช้ข้อความข้างบนนี้อธิบายข้อกล่าวหาเหล่านั้น ผมเรียนรู้ว่านอกจากจิตใจที่ต้องกล้าหาญแล้วเราต้องใช้สติปัญญาในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง การไปยืนอยู่หน้าบ้านของประยุทธไม่ได้ทำให้ประยุทธลาออก แต่การที่ประชาชนออกมาตะโกนไล่ประยุทธทุกหนแห่งต่างหากที่จะทำให้ประยุทธต้องลงจากอำนาจ”