จับตาสหรัฐฯส่งVIP เยือนอาเซียนรอบทิศ?!?รองปธน.กมลา แฮร์ริสเยือนเวียดนาม อดีตทหารผ่านศึกเตือน มหาอำนาจบ้าสงครามกลับมาแล้ว

1494

เมื่อนางกมลา แฮร์ริส(Kamala Harris) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯกำหนดเยือนเวียดนาม และตอกย้ำคำขวัญให้สัมภาษณ์สื่อว่า ‘อเมริกากลับมาแล้วหรือ America is back’ ทำให้อดย้อนภาพผลงานของสหรัฐฯต่อเวียดนาม ด้วยสงครามโหดร้ายอันน่าสยดสยองไม่ได้ว่า คนเวียดนามปัจจุบันและรัฐบาลเวียดนาม จะแสดงท่าทีแบบไหน บทเรียนจากบาดแผลสงครามที่สหรัฐฯก่อไว้กับแผ่นดินเวียดนามและประชาชนชาวเวียดนามจืดจางลงหรือไม่ ขณะที่ทหารผ่านศึกเวียดนามยังจดจำเหตุการณ์ในอดีตได้ไม่เคยลืม

วันที่ 6 ส.ค.2564 สำนักข่าวอาร์ที รายงานว่า สหรัฐฯได้กำหนดแน่นอนแล้วว่า รองปธน.กมลา แฮร์ริสจะเดินทางไปสิงคโปร์และเวียดนามในปลายเดือนสิงหาคมนี้ ด้วยความหวังที่จะก่อพันธะผูกพัน“ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์”กับชาติต่างๆ ในอาเซียน สำนักงานของเธอถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการอ้างข้อความของรัฐบาลโจ ไบเดนว่า”อเมริกากลับมาแล้ว”เนื่องจากประวัติศาสตร์อันเลวร้ายของสหรัฐฯในอดีตที่ก่อไว้ในสงครามเวียดนาม

ไมค์ แฮสไท(Mike Hastie) วัย 76 ปี รับใช้ชาติในเวียดนามในฐานะแพทย์ทหารในปี 1970-71 พ่อของเขาเป็นนายทหารในกองทัพสหรัฐฯ และเขาเติบโตขึ้นมาในฐานทัพทหารในต่างประเทศ

“ฉันมีความทรงจำอันยาวนานเกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำกับเวียดนามเมื่อ 50 ปีที่แล้ว”  แฮสไทกล่าวกับผู้สื่อข่าว RT โดยเรียกสงครามครั้งนั้นว่า “โหดร้ายอย่างน่าสยดสยองต่อชาวเวียดนาม”โดยพื้นฐานที่สหรัฐฯเป็นผู้รับผิดชอบในการสังหารหมู่และความโหดร้ายในแต่ละวันที่กระทำต่อประชาชนเวียดนาม

แฮสไทกล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าทั้งวอชิงตันและฮานอยต่างกระตือรือร้นที่จะทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง และแสวงหาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน คำถามก็คือชาวเวียดนามสามารถไว้วางใจรัฐบาลสหรัฐฯ ได้หรือไม่? 

“สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่หลงตัวเองมากที่สุดในโลก เอาแต่ใจตัวเองเป็นพิเศษ เศรษฐกิจทั้งหมดของอเมริกาตั้งอยู่บนพื้นฐานของสงคราม อเมริกาฆ่าคนเพื่อผลกำไร ตั้งแต่เวียดนาม ลาว และกัมพูชาในทศวรรษ 1960 และ 1970 ไปจนถึงละตินอเมริกาและตะวันออกกลางในปัจจุบัน”

เขากล่าวสรุปว่า ชาวอเมริกันคิดว่าประเทศของพวกเขาเป็นประชาธิปไตย “คุณไม่สามารถเป็นประชาธิปไตย และจักรวรรดินิยมโลกได้ในเวลาเดียวกัน เพราะสหรัฐฯ ไปที่ประเทศโลกที่สาม และทำลายระบอบประชาธิปไตยของพวกเขา ดังนั้นสหรัฐฯจึงสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้ นั่นคือสิ่งที่เราทำ”“ผมเชื่อว่าชาวเวียดนามพวกเขารู้ว่ากำลังทำอะไร”

แฮสไทเคยกลับมาที่เวียดนามครั้งแรกในปี 1994 และต่อมาได้เดินทางมาอีกสองครั้งในปี 2016 และ 2018 แม้ว่าเวียดนามจะถูกปกครองอย่างเป็นทางการโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เขากล่าวว่าประเทศนี้ โดยเฉพาะเยาวชนได้กลายเป็น“ตะวันตก”อย่างมากแล้วในปัจจุบัน 

ก่อนหน้านี้รมต.กลาโหม ลอยด์ ออสติน ประสบความสำเร็จมากในการเดินทางเยือนเวียดนาม ที่เหล่าผู้นำและคนรุ่นใหม่ดูจะเทใจให้กับสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น โดยให้น้ำหนักน้อยลงกับความเจ็บปวดที่เคยได้รับจากกองทัพสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม แต่ไม่ปลื้มจีนมากกกว่าเพราะผลประโยชน์ทรัพยากรใต้ทะเลและข้อพิพาทน่านน้ำ และสหรัฐฯ ก็เพิ่งส่งเรือลาดตระเวนมอบให้เวียดนามเมื่อเร็วๆ นี้ รมต.ลอยด์ ได้ตกลงมอบวัคซีนโมเดอร์นาให้เวียดนามถึง 5 ล้านโดส (มากกว่าไทยเท่าตัว) และกำลังเจรจาที่จะมาตั้งโรงงานผลิตวัคซีนของสหรัฐฯ ที่นั่นด้วย!

สหรัฐฯ เข้าไปพัวพันกับเวียดนามครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 การแทรกแซงทางการเมือง การทหาร ดำเนินมายาวนาน 20 ปี สงครามที่สหรัฐฯก่อไว้ในอดีตได้คร่าชีวิตพลเรือนชาวเวียดนามไปแล้ว 2 ล้านคน หรือสิ่งเหล่านี้ได้หลงลืมหายไปจากความทรงจำของคนเวียดตามรุ่นปัจจุบันแล้ว

ขณะที่สหรัฐฯกลับมาเพื่อขวางอิทธิพลของจีนอย่างชัดเจน สื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากได้อ้างอิงโดยตรงและโดยอ้อมเกี่ยวกับสงครามหายนะของสหรัฐอเมริกาในเวียดนาม สื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากแนะนำว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจไม่ตื่นเต้นมากเกินไปที่อเมริกาจะ”กลับมา”

ประกาศของปธน.โจ ไบเดนที่ว่า”อเมริกากลับมาแล้ว”หลังจากพรรคเดโมแครตย้ายเข้ามาอยู่ในทำเนียบขาวในเดือนมกราคม สะท้อนชัดว่าสโลแกนนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ กำลังหันหลังให้กับสถานะอันวุ่นวายสหรัฐฯในสมัยของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่เป็นสัญญาณว่า วอชิงตันกำลังกลับไปใช้แนวทางเชิงรุกและแทรกแซงนโยบายต่างประเทศที่ก้าวร้าวมากขึ้น เช่นทุกครั้งที่พรรคเดโมแครตขึ้นเป็นผู้นำของสหรัฐฯ 

สำหรับประเทศไทยจะยืนหยัดไม่เลือกข้างได้หรือไม่ ขึ้นกับรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นผู้นำ อย่าแปลกใจที่สหรัฐหนุนฝ่ายต้านรัฐบาลไทยอย่างค่อนข้างเปิดเผย และเหตุผลที่ทำไมสามกีบกับทีมล่มชาติพุ่งเป้าต้องล้มประยุทธ์ให้ได้ เป็นคำตอบชัดว่า บ้านเมืองเราที่วุ่นวายอยู่ไม่เลิกเพราะอะไร? แม้ว่าไทยจะรับไมตรีวัคซีนจากตะวันตกและยอมซื้ออาวุธของสหรัฐฯแล้วก็ตาม