สตีเฟน โรช นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการล่มสลายของเงินดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2564นี้และมีโอกาสมากกว่า 50% ที่จะเกิดภาวะถดถอยแบบทวีคูณ และด้วยปัญหาเงินเฟ้อที่ยากจะแก้ไขได้ทัน ทำให้ทางการสหรัฐอาจต้องเก็บภาษีเพิ่มจากชนชั้นกลางและกลางสูง เพราะอ้างว่าเก็บภาษีก้าวหน้าจากอีลิทแล้ว ต้องมาเก็บภาษีคนรวย(กลางสูง) เพื่อสังคมและประชาชน จะเห็นการเริ่มโฆษณาสร้างความชอบธรรมในการเก็บภาษีคนรวยกลางสูงเพิ่ม ยิ่งไปกระตุ้นความยากลำบากทางเศรษฐกิจในประเทศเพิ่ม ธาตุแท้ของทุนนิยมคือ ในที่สุดจะผลักภาระให้แก่คนธรรมดาสามัญที่ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งลำบากมากขึ้น ขณะที่ปัญหาสังคม ทั้งอาชญากรรมจากปืน ความเกลียดชัง-เหยียดเชื้อชาติสีผิว ยิ่งเพิ่มพูนเพราะไม่แก้ไข ความไม่ไว้วางใจรัฐบาลในหมู่ประชาชนนับวันขยายตัวกว้างขวาง ดูอาการแล้ว สหรัฐไม่น่าจะรอดภาวะเสื่อมทรุดที่ใช้เงินดอลลาร์ปะผุเคลือบไว้มาตลอด จับตาผลกระทบต่อโลกและประเทศไทย
นักเศรษฐศาสตร์สตีเฟน โรช (Stephen Roach) อดีตประธานของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์แห่งเอเชียจำกัด (Morgan Stanley Asia) กล่าวว่าเขาเห็นความน่าจะเป็นมากกว่า 50% ที่จะเกิดภาวะถดถอยสองครั้งในสหรัฐอเมริกา
สหรัฐฯ เห็นว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ และลดลงจากการฟื้นตัวของวัฏจักรธุรกิจ 11 ครั้งที่ผ่านมา เขากล่าวว่าข้อมูลไตรมาสสองนั้นน่าวิตกอย่างยิ่งไม่สามารถเพิกเฉยได้ โดยชี้ให้เห็นว่าการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับความไม่สมดุลระหว่างประเทศของสหรัฐฯกับประเทศอื่นๆในโลกประสบปัญหาการทรุดตัวลงเป็นประวัติการณ์
ด้านตลาดหุ้น โรชมองว่า “ผู้ค้ามือสมัครเล่นจำนวนมากจะถูกล้างออกจากตลาดหุ้นเมื่อ เฟดจะสิ้นสุดเกมปั๊มเงินกระดาษ พวกเขาจะไม่รู้ว่าจะซื้อขายในตลาดจริงได้อย่างไร เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ต้องใช้ทักษะทางเทคนิคจริงและการวิจัยทุกเช้าก่อนทำการซื้อขาย ถ้าไม่มีอะไรอื่น สิ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นตกอย่างรวดเร็วคือความอ่อนล้าของผู้ซื้อ”
โรชกล่าวว่า”ทุกคนที่สามารถซื้อหุ้นในตลาดหุ้นได้ก็ซื้อมันมาโดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีการออกมาตรการกระตุ้น ให้คนออกไปทำงานตามปกติ และส่วนที่เหลือจะส่งผลให้ผู้ซื้อหมดแรงซื้อเพราะไม่มีรายได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดฟองสบู่เทคโนโลยีในเดือนมีนาคมปี 2000 ฉันเห็นสิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นที่นี่ ตลาดหุ้นนี้มันวิ่งด้วยควันมายา เมื่อประเมินค่าทำให้รู้สึกเป็นศูนย์ มันไม่ดีต่อสุขภาพของตลาดที่จะขึ้นต่อภาพลวงตา โดยไม่มีสิ่งใดผูกติดอยู่กับปัจจัยพื้นฐานหรือเศรษฐกิจที่เป็นจริง(Real Sector)เช่นนี้”
สิ่งที่โรชห่วงนั้นตรงกับข้อเท็จจริงหลายด้านที่เปิดเผยออกมา ข้อมูลสถิติบ่งบอกว่านับแต่เดือนมีนาคม อัตราเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น เฉพาะในเดือนเมษายนสูงขึ้น 3.1% ขณะเดียวกันสหรัฐฯไม่สามารถจะใช้อิทธิพลบนโลกนี้ได้มากพอจะคุ้มครองเปโตรดอลล่าร์ได้เหมือนก่อน ปัจจุบันประเทศรัสเซียแข็งแกร่งที่สุดในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ จีนก็นำโด่งอเมริกาไปไม่น้อยแล้วเรื่องจีดีพี-กำลังซื้อ สหรัฐฯจึงกลายเป็นเบอร์ 2 ทั้งด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ และด้านเศรษฐกิจ
รัสเซียดัมป์เงินดอลล่าร์ไปหมดตะกร้าเงินสำรองของตนเรียบร้อยแล้วและหนุนหยวนแทน จีนเตรียมเปิดดิจิทัลหยวนเตรียมสำหรับงานกีฬาโอลิมปิกในจีนปีหน้า ต่อไป การทำมาค้าขาย ทุกคนจะใช้ดิจิทัลหยวนโดยไม่ต้องเปิดบัญชีกับธนาคารกลางของจีนเลยทั้งสะดวกและไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ก่อนหน้านี้หลี่ ปัว (Li Bo) รองผู้ว่าการธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน (People’s Bank of China บอกเอาไว้เมื่อวันที่ 19 เม.ย.2564 กล่าวว่า เงินดอลลาร์ออฟชอร์จำนวน 16 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งฝากอยู่ตามพวกแบงก์ระหว่างประเทศนั้น จะไม่เปลี่ยนมาเป็นเงินหยวนจีนมูลค่าเท่าๆ กันหรอก ตรงกันข้าม เงิน 16 ล้านล้านดอลลาร์ดังกล่าวจะหดตัวลดค่าลงเหลือแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของปริมาณในปัจจุบันของตัวมันเอง เนื่องจาก พวกบิ๊กเทค/การปฏิวัติด้านฟินเทค จะทำให้มันอยู่ในภาวะเหลือล้นเกินความต้องการ นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์เองได้อธิบายความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้เอาไว้เช่นกันว่า “พวกธนาคารทั้งหลายจะสูญเสียฐานเงินฝากของพวกตนไปขณะที่สกุลเงินตราดิจิตอลเข้าแทนที่ ในการทำหน้าที่พื้นฐานที่สุดของธนาคาร”