แผนวัคซีนรวน ถึงเวลา “นายกฯ” เด็ดขาด พรรคร่วม ก่อนชาติจะพัง!?

2119

สืบเนื่องจากกรณีที่สำนักข่าวอิศรา ได้รายงานเรื่องเอกสารลับจากแอสตร้า ที่ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากนายแพทย์ระดับสูงรายหนึ่ง เกี่ยวกับปัญหาการสั่งจองวัคซีนโควิดแอสตร้าเซนเนก้าของประเทศไทย

เป็นหนังสือลับลงวันที่ 25 มิ.ย. 2564 ที่นายสจอร์ด ฮับเบน รองประธานฝ่ายกิจการองค์กรทั่วโลก ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ที่ส่งให้กับนายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และมีการส่งต่อหนังสือดังกล่าวไปให้กับ นพ.โอภาส การกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าแจ้งขอรับวัคซีนโควิดแอสตร้าเซนเนก้าในช่วงแรกเพียงแค่ 3 ล้านโดสต่อเดือน และเป็นการแจ้งช้าที่สุดในอาเซียน

ต่อมาทางด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีสาธารณสุข ออกมายอมรับว่า บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้ทำหนังสือมาถึงตนในช่วงเวลาดังกล่าวจริง ซึ่งก็ได้ตอบจดหมายกลับไปว่า ประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาผู้ที่ติดเชื้อโควิดรายวันที่พุ่งสูงมาก ต้องการวัคซีนจำนวนมาก

ซึ่งจะต้องจัดหาวัคซีนให้ได้อย่างน้อย 10 ล้านโดสต่อเดือน ได้สั่งการ นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เร่งจัดทำร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีน ภายนอกราชอาณาจักร เป็นการชั่วคราว เสนอให้ศบค.พิจารณาตัดสินใจ เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของประเทศไทย และสั่งการให้ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการองค์การอาหารและยา (อย.) เชิญผู้แทนของบริษัทวัคซีน ที่ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนในประเทศไทยทุกราย เข้าพบในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือถึงแนวทางที่ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัคซีน mRNA ที่ประชาชนต้องการ ซึ่งขณะนี้ผู้แทนของโมเดอร์นาได้ตอบรับที่จะร่วมหารือกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขแล้ว รวมทั้งได้มีการยื่นข้อเสนอไปที่บริษัท ไฟเซอร์ ประเทศไทย เพื่อสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มขึ้นอีก 50 ล้านโดส ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมเพื่อหาแนวทางความร่วมมือกันเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการได้เห็นชอบหลักการมีการกำหนดสัดส่วนการส่งออกวัคซีนนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติเสนอ และมอบให้สถาบันวัคซีนฯ กับกรมควมคุมโรค จัดทำร่างประกาศ เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณา โดยคำนึงถึงผลกระทบและผลประโยชน์ของประเทศไทย คนไทยเป็นสำคัญ

ในที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว และมอบให้ ผอ.สถาบันวัคซีน กับอธิบดีกรมควบคุมโรค ไปเจรจากับผู้ผลิตวัคซีน ให้ได้จำนวนที่เหมาะสมกับสถานการณ์การระบาดในประเทศก่อน ซึ่งนายอนุทิน เคยแจ้งเป็นหนังสืออย่างเป็นทางการไปถึงแอสตร้าเซนเนก้าแล้วว่า ประเทศไทยต้องการวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส แต่ถึงอย่างไร เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่รอคอยการจัดสรรวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทย ต้องมีความจำเป็นเสนอ ศบค. พิจารณาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อพิจารณาให้ครอบคลุมทุกมิติ

ขณะเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา ทางด้านนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรค ภูมิใจไทย ได้เปิดเผยถึงประเด็นของนายอนุทิน ระบุว่า เรื่องความรับผิดชอบในการจัดหา วัคซีน ของประเทศไทย โดยยืนยัน คำสั่งแต่งตั้ง คณะทำงานวัคซีน ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีชื่อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยมีชื่อเรื่องว่า “อนุทิน” กับการจัดหาวัคซีน แพะรับบาปของ ศบค.

วันนี้มีข่าวออกมาว่า” “อนุทิน” ชง “ศบค.” เคาะ จำกัดส่งออก แอสตราเซเนกา ไปต่างประเทศ หวังได้ 10 ล้านโดส ฉีดให้คนไทยก่อน สัปดาห์หน้าคุยทุกบริษัท จัดหาวัคซีน mRNA ด้านโมเดอร์นาตอบรับแล้ว พร้อมสั่งซื้อไฟเซอร์อีก 50 ล้านโดส” ซึ่งข่าวนี้คงได้แพร่หลายไปแล้ว

ช่วงที่ผ่านมา ผมพยายามอยู่อย่างสงบนิ่ง แม้เห็นความไม่ชอบมาพากลความไม่ถูกต้องปรากฏออกมาให้เห็นเป็นข่าวคราวอยู่เสมอๆ เพราะคิดว่า ตัวเองเป็นนักการเมืองต้องสงบเสงี่ยมเจียมตน อยู่เฉยๆ ไม่พูดอะไร คนก็เกลียดทั้ง ๆ ที่นักการเมืองส่วนใหญ่ ในเวลานี้ทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนอยู่กับประชาชนทั่วประเทศในเวลานี้

แต่พอมีข่าวนี้ออกมาผมคิดว่าผมจำเป็นต้องออกมาพูด เป็นความจริงที่ต้องพูดเพื่อปกป้องคนทำงาน คนทำงานที่ชื่อ ”อนุทิน ชาญวีรกูล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นคนไม่ดี คนไร้ประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการจัดหาวัคซีน เป็นคนที่ถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรง โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงสำคัญที่ว่า ”อนุทิน ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดหาวัคซีน” มาตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2564

ถามว่าทำไม? คำตอบคือในวันที่ 9 เมษายน 2564 นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งที่ 5/2564 ”เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)” มี อ.ปิยะสกล เป็นประธาน ซึ่งผมเคยเสนอเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว

การกำหนดวัคซีนหลัก วัคซีนทางเลือก มาจาก กก. ที่ อ.ปิยะสกล เป็นประธาน มีเจ้าของ รพ.เอกชน เป็น กก.เบอร์ 9-16 เป็นเจ้าของ รพ.เอกชน อ.ปิยะสกล คือ อดีต รมว.สธ. ที่มีอำนาจเหนือ รมว.สธ. ชื่ออนุทิน ในการจัดการทั้งปวงเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีน

หน้าที่และอำนาจ

ข้อ 1 คือ เสนอแนวทาง มาตรการจัดหาวัคซีน มาใช้ทั้งในสถานพยาบาลของรัฐ และ เอกชน ของรัฐ ก็คือ วัคซีนหลัก ของเอกชนก็คือ วันซีนทางเลือก

ข้อ 2 พิจารณาจัดหาวัคซีน

ข้อ 3 ดำเนินการตาม นายกรัฐมนตรี มอบหมาย

แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประชาชนไม่เคยทราบว่า คณะทำงานชุดนี้ทำอะไรบ้าง? นอกจากมีข่าวของหมอบุญ ว่า เป็นกรรมการ มีหน้าที่ กำหนดตัวไหนทางหลัก ทางเลือก? และที่ทราบคือการวางมาตรการจัดซื้อ จัดหา จำหน่าย อย่างไรเจ้าของ รพ.เอกชน เป็นทั้งผู้กำหนดนโยบาย ผู้กำหนดแนวทางซื้อ และ ขาย ซึ่งนี่มันผลประโยชน์ทับซ้อน เห็นๆ? นี่คือ ศบค. ได้มองเห็นหรือไม่?

และนี่ คือเหตุที่มีการใช้สื่อตีวัคซีนของรัฐบาล ให้คนรอโมเดอร์นา ที่ รพ.เอกชน ซื้อผ่าน อภ.มาทำธุรกิจ?

ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ประกาศจัดหาวัคซีนให้ได้ 100-150 ล้านโดส ในปี 2564 คณะทำงานชุดนี้ ได้สนองนโยบาย และคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่?

แต่ที่แน่ ๆ คือ ในคณะทำงานชุดนี้ ไม่มี รมว.สาธารณสุข และมี ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เพียง 5 คน จากทั้งหมด 18 คน

และถ้าได้อ่านคำสั่งนี้กี่ครั้งๆ ก็ไม่พบว่า ”อนุทิน” รมว.สธ. มีชื่ออยู่ในนี้ และชัดเจนว่า คนจัดการวัคซีน คือ อ. ปิยะสกล กับ เจ้าของ รพ.เอกชน ซึ่งผมคิดว่า ท่านควรจะออกมาบอกให้ประชาชนได้รับรู้ว่า ท่านได้ทำอะไรไปบ้าง และ ศบค. ก็ต้องออกมาบอกประชาชนว่า ความจริงเป็นเช่นไร ไม่ใช่ปล่อยให้ ”อนุทิน” เป็นแพะรับบาป

ไม่ว่าอย่างไร จนถึงวันนี้คน สธ. ก็พร้อมรับปฏิบัติ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากทำ เพราะนี่คือ การเอาเปรียบรัฐ เอาเปรียบประชาชน หากินกับประชาชนที่กำลังเดือดร้อน และเสียขวัญ

“อนุทิน” วันนี้ กลืนเลือด ไม่ท้อ ไม่ถอย ยอมให้ด่าทุกเรื่อง แต่อดทน เพราะอาสามาทำงานเพื่อประชาชน เป็นหัวหน้าพรรคที่บอกลูกพรรคที่ห่วงใยว่ากลับไปหาประชาชน ไม่ต้องห่วงผม และยังออกมาดำเนินการเรื่องวัคซีนตามข่าวนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ตามคำสั่งนั้นก็ตาม เพราะทนเห็นความทุกข์ยากของประชาชนไม่ได้

ถ้าจำกันได้ตอนคำสั่งฉบับนี้ออกมา มีคนสะใจมากที่ รมว.สธ. โดนยึดอำนาจ แต่คนกลุ่มนี้เองที่บิดเบือนความจริง กล่าวหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า ล้มเหลวการจัดหาวัคซีน และสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน จิตใจพวกคุณทำด้วยอะไรถึงกระทำการอันเลวร้ายเช่นนี้? แทนที่เราจะร่วมกันช่วยกันฟันฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกัน เพื่อประเทศของเรา แต่กลับมีคนแบบนี้อยู่ จึงขอได้โปรดยุติการกระทำเลวร้ายแบบนี้เสียเถิด

 

ทั้งนี้ปมปัญหาที่เกิดขึ้น จนกลายเป็นความโกลาหลก็ว่าได้ เมื่อตัวนายอนุทินเอง มีประเด็นเรื่องพบยอดฉีดวัคซีนที่จังหวัดบุรีรัมย์ พุ่งสูงติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งเมื่อดูยอดผู้ติดเชื้อ ก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าพื้นที่สีแดงที่กำลังเผชิญสถานการณ์ระบาดของโควิดอย่างหนัก มีการพูดเรื่องล็อกดาวน์ก่อนศบค.จะแถลง และประเด็นวัคซีน ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เด็ดขาดอีกต่อไป ทำให้หลายคนมองว่า ขณะนี้กำลังมีเกมการเมืองภายในซ้อนเรื่องวัคซีน ในองค์กรของกระทรวงสาธารณสุข และศบค. ก็เป็นไปได้ เพราะจดหมายลับจากแอสตรา มีการระบุชัดเจนว่าเซ็นสัญญากี่ฝ่าย หน่วยงานไหนเกี่ยวข้องบ้าง การที่เอกสารลับถูกเปิดออกมา จึงไม่ใช่เรื่องลับ แต่เป็นการปล่อยเพื่อให้เกิดนัยยะอื่นมาตาม จนนายอนุทินต้องแถลงว่า จะสั่งเบรกการส่งออกวัคซีนแอสตรา และให้ศบค.พิจารณาด้วย

และเมื่อย้อนไปวันที่ 11 มิถุนายน 2564 นายอนุทินได้ ตอบสื่อถึงเรื่องความขัดแย้ง ระหว่างสธ.กับศบค. ระบุว่า สธ. นิ่งมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่การขัดขืน เพราะแพทย์ ผู้ที่เกี่ยวข้อง รู้ขั้นตอนการทำงาน ความขัดแย้งในการทำงานเป็นเรื่องปกติ คนไม่ใช่แพทย์มองนโยบายนี้ดีกว่า แต่ถ้าขัดหลักการแพทย์ เราก็ขัดแย้งบนโต๊ะทำงาน สุดท้ายก็หาทางออกร่วมกันทุกครั้ง แต่ยืนยันว่าไม่มีการกระทบกระทั่งกันส่วนบุคคล “วันนี้ทะเลาะกันแทบตายเพราะเห็นต่างกัน สุดท้ายก็มีทางออก แล้วเราก็คุยกันใหม่ เมื่อเห็นพ้องกัน แต่อีก 2 วันก็เห็นต่างกันอีก เราก็มาคุยกันใหม่อีก แต่ไม่มีการเห็นต่างแล้วเตะขัดขากัน”

อย่างไรก็ตามมหากาพย์เรื่องวัคซีน ไม่น่าจะจบลงง่าย ๆ แต่เป็นการต้องเร่งหาทางออกของผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะนาทีนี้มีชีวิตของประชาชนเป็นเดิมพัน ยอดติดเชื้อไม่ลดลง ยอดผู้เสียชีวิตก็ยังเพิ่มสูงขึ้นหลักร้อยต่อเนื่อง ส่วนความคืบหน้าจากกระทรวงสาธารณสุขนั้น นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จะต้องมีการเจรจากับแอสตราทุกเดือน ขณะนี้แอสตราส่งวัคซีนให้แล้ว 12 ล็อต จำนวน 8,193,500 โดส โดยทยอยส่งเป็นสัปดาห์ และจำนวนวัคซีนในสัญญากับความต้องการของไทยคือ 61 ล้านโดส จะครบภายในเดือนธันวาคม 2564 ส่วนทางด้านนายกรัฐมนตรีได้เรียก อ.ปิยะสกลและนายอนุทิน เข้าหารือด่วนเรื่องวัคซีนแล้ว

สุดท้ายนี้ไม่ว่าเรื่องราวมหากาพย์วัคซีนจะไปลงเอยที่ตรงไหน ใครจะเล่นเกมการเมืองภายในกับใครก็ตาม แต่งานนี้บอกได้เลยว่า คนที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ก็คือประชาชนอีกหลายล้านชีวิต ที่กำลังรอคอยวัคซีนอย่างไม่รู้ชะตากรรม ว่าเมื่อไหร่จะได้ฉีด โควิดก็กลัว อยากฉีดวัคซีนก็ไม่มี ยิ่งนักการเมืองเล่นแง่กันนาน ๆ หายนะใหญ่จะยิ่งตามมาแน่นอน