สามกีบจัดทัวร์ลงถล่ม “หมอนิธิ” เลขาฯราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หลังเสนอความจริงอีกมุม ทำไมต้องค้านฉีดวัคซีน เข็ม 3 ให้ทีมแพทย์!?

1866

หลังจากที่ทางด้านศ.เกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. กระทรวงสาธารณสุข แถลงชี้แจงปมวัคซีนโควิดภายหลังร่วมประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ

ว่ากรณีวัคซีนเข็มที่ 3 ล่าสุดคณะกรรมการมีมติให้วัคซีน กระตุ้นให้กับเป้าหมายแรกผู้มีความเสี่ยงสูงจำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 7 แสนคน และกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดซิโนแวค เข็มที่ 2 ครบ 3 – 4 เดือน จะต้องได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 หากวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 1.5 ล้านโดส มาถึงเร็วจะฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ก่อน ส่วนประชาชนทั่วไปมีวัคซีนไฟเซอร์ที่สั่งจองซื้อไปแล้วจำนวน 20 ล้านโดส จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 5 ล้านโดส และโมเดอร์นาของภาคเอกชน ซึ่งกำลังจะมาในไตรมาสที่ 4

ต่อมาทางด้านศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อช่วงค่ำวันที่ 6 ก.ค. 2564 ที่ผ่านมา ระบุถึงความจริงในอีกมุมว่าขอค้านการฉีดเข็มที่ 3 ให้แพทย์ ท่ามกลางเสียงที่เห็นด้วยและกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก

โดยเนื้อหา ระบุไว้ดังนี้ “ด้วยความเคารพและเห็นใจความกลัวการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว จนมีประกาศกันว่าจะให้บุคลากรด่านหน้าได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หลังจากได้วัคซีนไปครบแล้วสองโดส

ผมขอให้ข้อคิดว่า 1. ต้องไม่ลืมว่าคนที่ได้รับวัคซีนครบแล้วไม่ว่าชนิดใดยังมีโอกาสติดเชื้อ ได้ช่วงนี้มีรายงานว่าแพทย์พยาบาลติดเชื้อกันมากนั้นเป็นเพราะพวกเราด่านหน้าเสี่ยงได้รับเชื้อกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วแม้แต่จะมีอุปกรณ์ป้องกันเต็มที่อย่างดีแต่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันทั้งโลก การที่พวกเรา (แพทย์) ตระหนกจะทำให้คนทั่วไปตื่นเต้นไปยิ่งกว่า

2. เรา(แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และทุกคนที่แม้แต่คิด) ดูเห็นแก่ตัวไปไหมในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่ได้วัคซีนสักเข็มเดียว ถ้าเราจะมารับการกระตุ้นด้วยเข็มที่สามกันก่อน

3. ยังไม่มีประเทศไหนในโลก ณ เวลานี้ที่แนะนำให้ฉีดกระตุ้นวัคซีนโควิด19ด้วยเข็มสามในตอนนี้ จะเป็นเมื่อไหร่ สามเดือน หกเดือน แต่ทั้งนี้ถ้าอยากรู้ก่อนอยากทำก่อนก็ทำได้แต่….. ควรทำเป็นการศึกษาให้เป็นระบบไม่ควรทำแบบ ทำไปมั่ว ๆ เหมือนที่ผ่านมา ไม่เก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ไม่วางแผนให้เป็นระบบประเทศไทยก็จะไม่มีข้อมูลอีกเช่นเคยเหมือนในอดีต

ผมไม่แน่ใจจริง ๆ ว่า ทำเช่นนี้เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับ (บริจาค แลก ซื้อ)จำนวนพิเศษนี้หรือไม่ …..ไม่รู้จริง ๆ ครับ พยายามช่วยหาเหตุผลอธิบายว่านโยบายการให้ฉีดกระตุ้นในบุคลากรการแพทย์นี้มีเหตุมีผลลึก ๆ อะไร

4. หลายแสนโดสที่จะได้รับบริจาคให้พวดเราส่วนหน้ามากระตุ้นภูมิถ้าจะฉีดให้คนไทยที่ยังไม่เคยได้วัคซีนได้ สามแสนห้าหมื่นคน จะสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ สามสี่พันคน ทีเดียว ดีกว่าไปหาทางเพิ่มเตียงไหมครับ

5. ทำเช่นนี้ (ออกข่าว ปชส.ว่าแพทย์ใช้การกระตุ้นภูมิเข็มสาม) เท่ากับสร้างกระแสความเชื่อให้คนมีเงิน (ขี้อวด และขี้กลัว) แห่กันไม่ฉีดวัคซีนหลักที่มีขณะนี้ของรัฐบาลอยู่ แต่รอไปเสี่ยงติดเชื้อไปและแพร่เชื้อด้วยไปอีกหลาย ๆ เดือน เพื่อรอ mRNA vaccine ทางเลือกและนอกจากนี้จะมีคน วีไอพี (ที่คนละประเภทกับ VIP ผม) ที่ไม่มีเงิน (แต่มีเครือข่ายมีสายมีเส้น) แห่กันไปลัดคิวแย่งคิววัคซีนหลักเพื่อกระตุ้นภูมิ ของคนที่ยังไม่ได้วัคซีนสักเข็มเดียว สังคมเราจะยิ่งมีความเหลื่อมล้ำไปกันใหญ่ไหมครับ ถ้าประเทศเรามีวัคซีนเกินพอ ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์กับนโยบายนี้

6. ผมไม่แย้งไม่เถียงว่า มีข้อมูลทางการแพทย์มากมายที่ทำให้อาจคิดและอาจทำให้เชื่อต่อได้ว่าการได้รับวัคซีนกระตุ้นนั้นจะทำให้ป้องกันสายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น แต่รู้ได้อย่างไรล่ะครับว่ากระตุ้นเร็วหรือช้าในเวลานี้จะให้ผลเสียมากหรือน้อยกว่ากันอยาคิดแค่มุมที่ดีมากหรือน้อยกว่ากัน อย่าหลงตามกันไป จะตอบคำถามนี้ได้ ต้องวิจัยและศึกษาให้เป็นระบบ อย่าสักแต่ว่า เชื่อ ฟัง และ ได้ยินเขาว่า ต่อ ๆ กันมา

7. ผมพูดมาตลอดว่าการระบาดของโรคใด ๆ นั้น เป็นเรื่องของสังคมศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์ วัคซีนไม่ใช่คำตอบเดียว ถ้าทำตามแนวทางและประชาสัมพันธ์ส่งเสริมที่จะให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข็มที่สาม ณ เวลานี้มีแต่จะทำให้เกิดความสับสน และแตกแยก เหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้นอย่างแท้

ผมไม่รู้ความตั้งใจของที่มาของการบริจาคมีเจตนาอย่างไรเล็งเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้นไหม หรือเป็นเพียงแค่การตลาดบริษัทยา ปกติผมไม่ค่อยชอบค้านอะไรตรง ๆ แบบนี้ แต่คราวนี้ขอผิดกติกาตัวเอง สงสารคนไทยอีก หลายสิบล้านคนที่ยังไม่ได้วัคซีน ผมขอค้านไม่เห็นด้วยในการให้ฉีดกระตุ้นเข็มสามในเวลานี้ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีนครับ ถ้าใครจะได้รับการกระตุ้นเข็มที่สามควรต้องอยู่ในการศึกษาวิจัยที่เป็นระบบเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ท่านเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกเกินไปครับ นิธิ มหานนท์ (วันนี้ความเห็นส่วนตัวไม่ขอลงตำแหน่งครับ แค่แพทย์คนหนึ่งที่ไม่ขอเห็นแก่ตัว) 6 กรกฎาคม 2564 ”

อย่างไรก็ตามได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงเรื่องนี้ ว่าคุณหมอไม่ได้มาอยู่ด่านหน้าก็พูดได้ อีกทั้งยังมีกลุ่มของม็อบ 3 นิ้ว เข้ามาคอมเม้นต์ด่าหยายคาย และจี้ถามว่า คุณคือหมอที่คอมเม้นต์ในข้อ 10 ที่เอกสารหลุดหรือป่าว ว่าห้ามฉีดไฟเซอร์ให้กับทีมแพทย์ ที่มีการแชร์ออกมาก่อนหน้านี้ พร้อมด่าว่าเป็นหมอที่เห็นแก่ตัวมาก ไม่นึกถึงชีวิตหมอที่ต้องเสี่ยง แต่อีกมุมหนึ่ง ก็มีหลายเสียงมองว่า เราต้องทำการศึกษาก่อน ถ้าเกิดผลเสียตามมา เท่ากับเสียบุคคลากรไปอีก และปกติคุณหมอจะไม่ค่อยค้านอะไรที่จะทำให้ตัวเองโดนว่าขนาดนี้ ก็คงมีเหตุผลที่ต้องตัดสินใจทั้งสองด้านให้ถี่ถ้วนก่อน ส่วนคุณหมอบางท่านที่ทำงานด่านหน้าบางรายก็บอกว่า เห็นด้วยนะคะ เพราะยังมีหลายคนไม่ได้สักเข็มเลย เรื่องแบบนี้ตัดสินใจยากมาก ในเวลาแบบนี้ และควรเปิดให้มีการสอบถามความสมัครใจของทีมแพทย์ พยาบาลด้วย จะได้เกิดความเป็นธรรมในทุกด้าน ๆ เพราะจะได้รู้ความต้องการที่แท้จริง