ดช.วัย 13 บรรจงเขียนจม.ถวายฎีกาถึง “ในหลวง” ขอพระเมตตาช่วยซ่อมบ้านที่ผุพัง ทรงได้อ่านรีบยื่นพระหัตถ์ช่วยเหลือทันที!

2674

ดช.วัย 13 บรรจงเขียนจม.ถวายฎีกาถึง “ในหลวง” ขอพระเมตตาช่วยซ่อมบ้านที่ผุพัง ทรงได้อ่านรีบยื่นพระหัตถ์ช่วยเหลือทันที!

จากกรณีที่ทางโลกออนไลน์ได้แชร์เรื่องราวของ ด.ช.จีรภัทร เด็กชายวัย 13 ปี สัปเหร่อหนุ่มน้อยชาวนครสวรรค์ ที่เขียนจดหมายถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวง ร.10 ขอพระเมตตาให้พระองค์ท่านช่วยซ่อมแซมบ้านที่พักอาศัยซึ่งอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ให้มีสภาพดีขึ้น และพระองค์ท่านได้มีการตอบรับจดหมาย โดยส่งเรื่องให้ทางจังหวัดนครสวรรค์ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งได้สร้างความปลาบปลื้มปีติให้ ด.ช.จีรภัทร เป็นอย่างมาก

ล่าสุด มีรายงานว่า ด.ช.จีรภัทร หรือน้องเบส กรมไธสง อายุ 13 ปี ผู้เขียนจดหมายถวายฎีกาในหลวง ร.10 ขณะเจ้าตัวได้เดินทางไปรับจ้างเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อวัดปากน้ำโพใต้ หรือวัดตะแบก ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านที่พักอาศัยมากนัก
น้องเบส รับงานเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อหารายได้เสริม ได้ทำหน้าที่ช่วยจัดข้าวของภายในงานฌาปนกิจของผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง พร้อมเปิดเผยว่า ทุกครั้งที่ทางวัดมีการจัดงานฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตจะเดินทางมารับจ้างเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อทุกครั้ง โดยมีค่าจ้างครั้งละ 100-400 บาท และนำเงินส่วนหนึ่งไปแบ่งให้พ่อกับแม่ เพื่อช่วยสร้างรายได้ให้ครอบครัวอีกทาง และทำแบบนี้มา 2-3 ปี จนรู้งานเกี่ยวกับขั้นตอนในการทำหน้าที่สัปเหร่ออย่างดี ส่วนการเรียนของ ด.ช.จีรภัทร กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาลวัดปากน้ำโพใต้ ซึ่งพบว่า นอกจากเจ้าตัวจะมีการเรียนที่ดีมนระดับเกรด 3 กว่าแล้ว ยังมักได้เป็นตัวแทนไปทำกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนอยู่เสมอด้วย

ส่วนกรณีการเขียนจดหมายถวายฎีกาขอความช่วยเหลือจากในหลวง ร.๑๐ นั้น น้องเบสว่า มีความตั้งใจ เนื่องจากบ้านอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก ทั้งพื้นทะลุ ฝาบ้านพังเสียหายมานานหลายปี แต่ทางบ้านไม่มีเงินซ่อม เพราะครอบครัวยากจน บิดา คือนายสุธี กรมไธสง อายุ 37 ปี มีอาชีพรับจ้างขับรถส่งน้ำดื่ม และมารดา คือ นางรันทิภา ชูประยูร อายุ 33 ปี ทำงานเป็นลูกจ้างขายไก่ทอดที่ร้านแห่งหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งทั้งคู่มีรายได้ต่อเดือนเพียงน้อยนิดเท่านั้น จึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือกับในหลวง ร.10 ด้วยการเข้ากูเกิลหาแบบฟอร์มจดหมายก่อน จะบรรจงเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวเอง บอกเล่าถึงความเดือดร้อนเกี่ยวกับบ้านพักอาศัยด้วยภาษาแบบชาวบ้านทั่วไป ไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์ จากนั้นจึงได้เสิร์ชหาที่อยู่ของพระองค์ท่านมาจ่าหน้าซองระบุที่อยู่จัดส่ง พร้อมกับนำจดหมายดังกล่าวให้แม่ช่วยนำไปส่งที่ไปรษณีย์ให้

โดยจดหมายได้ถูกส่งไปตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 64 ที่ผ่านมา กระทั่งเมื่อไม่กี่วันนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการในจังหวัดนครสวรรค์ นำเครื่องอุปโภคบริโภคมามอบให้ถึงบ้าน จึงได้ทราบว่า ในหลวง ร.10 ได้อ่านจดหมายและได้ทราบถึงการขอความช่วยเหลือของตนแล้ว จึงได้มีการส่งเรื่องมายังจังหวัดให้มาตรวจสอบ พร้อมกับให้การช่วยเหลือเรื่องการซ่อมแซมบ้านพัก ทำให้ตนรู้สึกปลาบปลื้มใจที่พระองค์ท่านทรงให้ความเมตตาเป็นอย่างมาก

โดย บ้านของน้องเบส เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกสูงจากพื้น หลังคาสังกะสี ที่ต้องติดสปริงเกอร์เปิดน้ำพรมหลังคาเอาไว้ในตอนกลางวันเพื่อช่วยบรรเทาความร้อน สภาพเก่าผุพัง ตั้งแต่พื้นไม้กระดานไปจนถึงฝาผนังต้องใช้เศษไม้อัดและผ้าใบมาซ่อมแซมในส่วนที่เสียหายแทนไปก่อน นอกจากนี้ ในบ้านหลังนี้ซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็กต้องอาศัยอยู่รวมกันถึง 6 ชีวิต

โดยน้องเบสเด็กเรียนดี มีทักษะในการพูดคล่องแคล่ว มีความกตัญญู ทำงานเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อหาเงินค่าจ้างมาช่วยเหลือพ่อกับแม่ด้วย แต่งานเป็นผู้ช่วยสัปเหร่อนั้นไม่ได้มีทุกวัน ซึ่งวันไหนที่ว่าง ด.ช.จีรภัทร ก็จะผลัดเปลี่ยนกันกับพี่สาวติดตามตนไปช่วยขายไก่ทอดที่ร้านที่ตนเป็นลูกจ้างอยู่เป็นประจำ ซึ่งในส่วนของฐานะของครอบครัว ยอมรับว่ายากจน ตนและสามีทำงานเป็นลูกจ้าง จึงมีรายได้รวมกันแค่พอใช้จ่ายกินอยู่ในครอบครัวเพียงเท่านั้น

สำหรับบ้านหลังนี้ตนพักอาศัยอยู่กับสามีและลูกๆ มานานหลายปีแล้ว เป็นบ้านที่สร้างกันเอง และอยู่ในที่ของการรถไฟ ความเสื่อมโทรมที่เห็น ต้องยอมรับว่าไม่มีเงินซ่อมแซม จึงทำได้เพียงแค่หาวัสดุเก่าๆ มาซ่อมแซมในส่วนที่เสียหายไปก่อน และด้วยเหตุนี้ ด.ช.จีรภัทร หรือน้องเบส จึงหาทางช่วยเหลือ และจู่ๆ วันหนึ่งเขามาบอกกับตนว่า จะเขียนจดหมายเพื่อขอความช่วยเหลือกับในหลวง แต่ตนไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งมารู้อีกทีว่าเขาได้เขียนจดหมายจริง และยังได้ขอให้ตนช่วยไปส่งจดหมาย ณ ที่ทำการไปรษณีย์ให้ด้วย

กระทั่งนำมาสู่เรื่องราวความปลาบปลื้มดีใจที่สุดของครอบครัว เมื่อทราบว่า พระองค์ท่านทรงอ่านจดหมายขอความช่วยเหลือของน้องเบส แล้วส่งเรื่องมาจังหวัดให้ความช่วยเหลือ ซึ่งถือเป็นความเมตตากรุณาของพระองค์ท่านที่ทรงห่วงใยใส่ใจต่อความเดือดร้อนของประชาชน

“แม้ปัญหาเรื่องการซ่อมแซมบ้านตน อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อเทียบกับเรื่องอื่น แต่พระองค์ท่านยังใส่ใจเมตตาทรงห่วงใยให้ความช่วยเหลือ ทำให้ตนรู้สึกดีใจมากที่พระองค์ท่านทรงพระราชทานความเมตตามาให้น้องเบส และครอบครัวตน”

จากการตรวจสอบสภาพบ้าน ซึ่งในส่วนของการซ่อมแซมมีการประเมินค่าซ่อมแซ่มบ้านเอาไว้ประมาณ 20,000 บาท เมื่อได้แล้วจะรีบมาดำเนินการซ่อมแซมบ้านทันที เพื่อให้น้องเบสและครอบครัวตนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น