สื่ออังกฤษฟาดหน้านายกรัฐมนตรีจอห์นสัน?!?ทำตัวเป็นสัตว์เลี้ยงของอเมริกา บ้าสงครามเย็น พาสหภาพยุโรปพังไปด้วย

1631

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2564 หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ ออกบทความวิพากษ์วิจารณ์ นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์สัน อย่างเผ็ดร้อนและมองท่าทีความร่วมมือระหว่างลอนดอนและวอชิงตันว่า จะทำให้สถานภาพของยุโรปย่ำแย่ลงกว่าเดิม ขณะที่ อังกฤษตีตัวออกห่างจากยุโรปและหันไปเอาใจสหรัฐเปรียบเหมือนสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ที่อาจจะทำให้สหภาพยุโรปไม่พอใจอังกฤษมากขึ้นไปอีก และจะลากยุโรปเข้าไปอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของสงครามเย็นครั้งใหม่ ระหว่างมหาอำนาจสหรัฐกับจีน-รัสเซีย

ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดของการประชุมสุดยอด G7 นั้นแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวว่า ความพยายามของปธน.โจ ไบเดนแห่งสหรัฐในการสร้างพันธมิตรในหมู่ประเทศประชาธิปไตย เป็นเพื่อสกัดกั้นกระแสเผด็จการที่นำโดยจีนและรัสเซียจะแบ่งโลกออกเป็นสองส่วน ผลักสัมพันธ์ที่ราบรื่นของจีนออกจากยุโรป ซึ่งการทิ้งเบรกซิทของอังกฤษ มาสมประโยชน์กับสหรัฐก็คือการทรยศหักหลังเอาตัวรอดของอังกฤษโดยบอริส จอห์นสันนั่นเอง

แม้จะมีการปรบมือของประชาชนสำหรับข้อความสำคัญของไบเดนที่ว่า “สหรัฐกลับมาแล้ว” หลังจากที่ยุโรปต้องเผชิญปัญหา ผู้อพยพชาวต่างชาติมากเกินไปและความชาตินิยมของอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์  ผู้นำยุโรปดูเหมือนจะห่างไกลจากความเชื่อว่ามันจะส่งผลดีจริง พวกเขากังวลว่าสหภาพยุโรปอาจถูกดูดเข้าสู่สงครามเย็นครั้งที่สองและไร้ขีดจำกัด และไบเดนซึ่งจะอายุ 82 ปีในปี 2567 อาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์หรือทรัมป์โคลนนิ่ง ซึ่งแสดงว่าหลายฝ่ายคาดว่าทรัมป์จะยังคงได้รับการสนับสนุนเข้าสู่ขบวนการแข่งขันชิงอำนาจ ปธ.สหรัฐในสมัยต่อไป

การที่สื่อตะวันตกใช้คำว่า ทรัมป์โคลนนิ่ง สะท้อนว่านโยบายชาตินิยมของทรัมป์ยังคงเป็นที่ถูกใจของกลุ่มนายทุนใหญ่ หรืออิลิทในสหรัฐ แม้แต่ไบเดน เมื่อเข้ารับตำแหน่งแล้วโดยยุทธศาสตร์รวม เหมือนทรัมป์แต่ปฏิบัติดุเดือดกว่าทรัมป์อีก

ข้อความที่ส่งถึงยุโรปในวันหยุดสุดสัปดาห์ของจอห์นสันที่โอบกอดไบเดนและอเมริกา ถือเป็นสัญลักษณ์ของกฎบัตรแอตแลนติกที่ปรับปรุงใหม่ เช่นเดียวกับสุนัขบูลด็อกที่ต้องการความโปรดปราน เบรกซิท-สหราชอาณาจักรจะทำตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่อฟังของวอชิงตัน จอห์นสันไม่ใช่วินสตัน เชอร์ชิลล์ แต่เป้าประสงค์เป็นเช่นเดียวกับเชอร์ชิลล์ในปี 1941 ที่เขาต้องการการสนับสนุนจากสหรัฐฯ

ไบเดนจะพยายามรักษาพันธมิตรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไว้ด้วยกัน ซึ่งสำหรับเขาหมายถึงประชาธิปไตยในยุโรปทั้งหมด รวมถึงสหราชอาณาจักรด้วย แต่แนวทางต่อต้านสหภาพยุโรปของรัฐบาลจอห์นสัน ซึ่งเห็นในท่าทีล่าสุดกับบรัสเซลส์เหนือและไอร์แลนด์เหนือ ไม่เป็นผลดีต่อวิสัยทัศน์ของสหรัฐฯ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การแทรกแซงอย่างแข็งขันโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯชี้ให้เห็นว่าในที่สุดลอนดอนจะถูกบังคับให้ประนีประนอม หากเพียงเพราะจอห์นสันไม่กล้าเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ในวงกว้างของสหรัฐฯ ทว่าความเป็นปรปักษ์ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น 

ความกังวลของยุโรปเกี่ยวกับการแยกตัวทางยุทธศาสตร์ ในฐานะที่เป็นระเบียบโลกแบบสองขั้วที่แตกแยกใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว ทางตะวันออกคือจีนรัสเซีย และระบอบการปกครองที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันในอินเดีย ตุรกี อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย ระบุว่าเป็นระบอบเผด็จการที่ก้าวร้าว และเป็นการดูถูกบรรทัดฐานระหว่างประเทศที่กำหนดโดยสหรัฐและชาติตะวันตก

ทางตะวันตกมองสหรัฐฯ ที่มีแต่ความเสียหายภายใน สภาพแตกแยกกันเองไม่เป็นเอกภาพ ขาดเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคงที่แท้จริงได้อีกต่อไป ความพยายามของไบเดนในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้เป็นปกตินั้นได้รับการยืนยันว่าได้รับการสนับสนุนจากยุโรป ตราบเท่าที่เขายังคงอยู่ในตำแหน่งนี้ เนื่องจากการประชุมสุดยอด “การรวมตัว” ระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์นี้สะท้อนให้เห็นชัดว่า วาระของวอชิงตันประสบความสำเร็จ 

แต่ถ้าทรัมป์หรือผู้ติดตามของเขาฟื้นอำนาจการแตกร้าวอย่างถาวรของสหรัฐฯ กับยุโรปและกลุ่มเสรีนิยมของยุโรป หลักการพหุภาคีอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทางกลับกัน อาจทำลายสหภาพยุโรปได้ 

ความกลัวเกี่ยวกับอนาคตของยุโรปในโลกที่ต้องอยู่กลางระหว่างมหาอำนาจที่เป็นศัตรูนั้นสะท้อนให้เห็นจากการสำรวจครั้งใหม่ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับรัฐในสหภาพยุโรป โดยคณะมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งยุโรป เผยให้เห็น” การขาดความมั่นใจอย่างกว้างขวางในความสามารถของสหรัฐฯ ที่จะกลับมาเป็นผู้นำของตะวันตก ” ชาวยุโรปส่วนใหญ่เชื่อว่าระบบการเมืองของสหรัฐอเมริกาถูกทำลายลงแล้ว และพวกเขาต้องมุ่งสู่การพึ่งพาตนเองมากขึ้น” การสำรวจระบุชัด

ยุโรปจะถูกบีบเหมือนมะนาวที่ยังไม่สุกระหว่างกองกำลังระดับโลก มหาอำนาจที่เป็นคู่แข่งกันซึ่งไม่มีค่านิยม ความเชื่อและผลประโยชน์ร่วมกันแม้แต่น้อย